วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 12 - ร่วมเป็นร่วมตาย

แม้ว่าชาติชายจะไม่ได้ตอบคำถามตรงๆแต่การย้อนถามที่ว่า “มึงรู้ได้ยังไง?” นั่นก็คือคำตอบที่ยอมรับว่า “ใช่” ได้เช่นกัน
“ก็เพราะกูก็ฝันเห็นเทวรูปเหมือนกัน” คำตอบของยอดชายทำให้ผู้ที่นั่งกุมพวงมาลัยรถถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นทั้งสองจึงเล่าเหตุการณ์ในความฝันให้แก่กันและกันฟังตั้งแต่ต้นจนจบยกเว้นแต่ฉากสวาทอันเร่าร้อนของสองบุรุษเพศที่มีใบหน้าเหมือนตนกับอีกฝ่ายเท่านั้นที่จงใจข้ามไปไม่ได้บอกเล่าออกมา ถึงแม้รายละเอียดในความฝันจะไม่ได้ตรงกันทั้งหมดแต่ก็เหมือนกันอยู่แปดส่วนทำเอาชายทั้งคู่แทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นแค่ความฝันเพราะทุกอย่างล้วนให้ความรู้สึกราวกับเป็นเรื่องจริง...ความเย็นวาบจากสันหลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ในใจของทั้งคู่บังเกิดปมปริศนาที่ยากคลี่คลาย หากท้ายสุดยอดชายจึงพูดขึ้นว่า
“เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้!”
“พิสูจน์” ชาติชายทวนคำก่อนถาม... “ยังไงวะ?”
“ทิพย์” ทั้งคู่พูดชื่อช่อทิพย์พร้อมกันราวกับนัดแนะ ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนช่อทิพย์ต้องเลือกคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอนไม่มีทางที่จะเป็นอื่น...ไม่ว่าช่อทิพย์จะเลือกใครก็ตามนั่นเท่ากับว่าคำพูดของบุรุษปริศนาในความฝันที่บอกว่าช่อทิพย์ไม่ใช่เนื้อคู่ของเขาทั้งสองคนนั้นย่อมผิดพลาดเป็นการพิสูจน์ได้ว่าความฝันก็คือความฝันไม่อาจเป็นจริง
‘คำตอบของช่อทิพย์จะจบปัญหาทุกอย่าง’ ชาติชายคิดในใจ...เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มจึงเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าสู่ร้านน้ำชาท้ายหมู่บ้าน...

เมื่อร่างสูงล่ำกำยำของสองบุรุษฉกรรจ์เหยียบย่างเข้ามาภายในร้านน้ำชาก็พบว่าวันนี้มีแขกมาเที่ยวมากเป็นพิเศษเหมือนกับมีงานเลี้ยงจนไม่มีหญิงงามคนไหนว่างมาต้อนรับแขกที่พึ่งเข้ามาในร้านเหมือนเช่นทุกครั้ง ยอดชายกับชาติชายต่างกวาดตามองโดยรอบแต่ก็ไม่พบเห็นสตรีที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวครั้งนี้แม้แต่เงา ชั้นล่างของร้านน้ำชานี้มีไว้สำหรับต้อนรับแขกที่มาดื่มกินทั่วไป ชั้นสองและชั้นสามมีไว้สำหรับให้ผู้ชายจ่ายเงินเปิดห้องระบายความใคร่ตามธรรมชาติ หากแต่ชั้นสามจะเป็นชั้นพิเศษที่ทั้งชั้นมีไว้ต้อนรับแขกวีไอพีทิปหนักๆเท่านั้น ส่วนชั้นสี่จะเป็นห้องพักของหญิงบริการประจำร้านที่กินนอนอยู่ที่ร้านแห่งนี้

“ทางนี้” ชาติชายพูดพร้อมกับก้าวเดินขึ้นบันไดโดยมียอดชายเดินตามหลังมาติดๆ จากชั้นสองก็มาถึงชั้นสามโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต ปกติแล้วถ้าไม่ใช่แขกวีไอพีจะต้องบอกกับเจ้าของร้านก่อนจึงจะสามารถขึ้นมาชั้นวีไอพีนี้ได้และที่หน้าบันไดทางขึ้นชั้นสามก็มีป้ายบอกอย่างชัดเจนว่า ‘เฉพาะแขกวีไอพี ห้ามขึ้นก่อนได้รับอนุญาต’ แต่เพราะความใจร้อนของชาติชายที่ต้องการเจอช่อทิพย์เขาจึงไม่สนใจกฎระเบียบต่างๆและขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวขึ้นบันไดสู่ชั้นสี่เพื่อไปหาช่อทิพย์ก็ปรากฏสุ้มเสียงแหลมสดใสดังมาจากห้องรับแขกวีไอพีด้านใน...เสียงหวานหยาดเยิ้มคุ้นหูยิ่งจนชาติชายต้องหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางของต้นเสียงที่ได้ยินทันที
“ทิพย์” ชายหนุ่มเรียกชื่อหญิงงามที่ตนกำลังตามหาก่อนจะพุ่งตัวปราดไปยังห้องที่มีเสียงนั้นแว่วมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชาติชายกำลังจะผลักเปิดประตูเข้าไปแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำสนทนาของผู้ที่อยู่ในห้องนั้นทำให้เขาต้องหยุดฟัง...

“เสี่ยจะไม่ยอมรับเด็กในท้องเป็นลูกใช่มั๊ย?” เสียงของช่อทิพย์ที่ดังลอดออกมาจากภายในห้องถามด้วยความร้อนใจในขณะนั้นก็มีเสียงระคายหูของผู้ชายท่าทางมีอายุพอสมควรตะคอกกลับแทบจะทันที
“วันๆรับแขกกี่คนก็ไม่รู้ ลูกใครก็ไม่รู้ จะให้กูรับเป็นพ่อได้ยังไงวะ?” สำเนียงและวิธีพูดของผู้ชายที่อยู่หลังประตูใหญ่คล้ายกับไม่ใช่คนไทย
“เสี่ยพูดอย่างนี้ได้ยังไง ปกติหนูก็รับแขกอยู่ไม่กี่คนเสี่ยก็รู้แล้วอีกอย่างทุกครั้งหนูก็จะใช้ยาเหน็บ ยกเว้นแต่กับเสี่ยและถ้านับระยะเวลาที่เสี่ยมาหาหนูหลังสุดก็พอดี...”
“พอๆไม่ต้องพูดแล้ว ต่อให้เป็นลูกกูๆก็ไม่รับ เดี๋ยวเอาเงินก้อนนี้ไปแล้วไปเอาเด็กออกซะ!”
ที่แท้ทุกครั้งก่อนที่ช่อทิพย์จะรับแขกจะสอดยาฆ่าเชื้ออสุจิไว้ในช่องคลอดนี่จึงเป็นเหตุให้ชาติชายไม่สามารถทำให้หล่อนตั้งครรภ์มีลูกกับเขาได้ จุดประสงค์ของผู้หญิงขายบริการก็เพื่อเงินและหากโชคดีเจอโคแก่รวยๆเอาไว้ปรนเปรอเงินทองให้กับตนเองได้เรื่อยๆมีหรือที่จะไม่รีบคว้าไว้? สำหรับช่อทิพย์แล้วชายหนุ่มทั้งคู่ที่แอบฟังบทสนทนาอยู่นั้นหล่อนเพียงแต่สนใจในรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาแกร่งกล้ามจึงยอมมีความสัมพันธ์ด้วยแต่หาได้คิดจะอยู่กินเป็นผัวเมียแบบที่ชาติชายวาดฝันไว้แต่แรกไม่
ความจริงทุกอย่างปรากฏพร้อมกับความอดทนของชาติชายที่ทนฟังอยู่นานสิ้นสุดลง ชายหนุ่มไม่สามารถสะกดอดกลั้นได้อีกต่อไป มือหยาบใหญ่แข็งแรงผลักจะเปิดประตูแต่ประตูลงกลอนจากด้านใน ด้วยความโกรธความเสียใจและเจ็บใจที่โดนผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงหลอกมาตลอดชาติชายจึงยกเท้าถีบประตูทีเดียวจนเกิดเสียงดัง ‘โครม’...ประตูบานใหญ่เปิดผลั๊วอ้าเข้าไปด้านในพร้อมกับกลอนไม้ที่สอดคั่นอยู่หลังบานประตูนั้นหักสะบั้นลงในพริบตา ภายในห้องโถงกว้างมีห้องอเนกประสงค์แยกย่อยอีกหลายห้องสมกับที่เป็นชั้นไว้บริการแขกพิเศษโดยเฉพาะ
สีหน้าแววตาของช่อทิพย์แสดงออกถึงความงงงันและใจหายวาบเมื่อหันมาเห็นชาติชายยืนโดดเด่นคู่กับยอดชาย
”พี่ชาย!” หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มที่พังประตูเข้ามาด้วยความตกใจ
“พี่ชายคนไหนล่ะทิพย์? หมายถึงพี่ หมายถึงไอ้ยอด?...” น้ำเสียงและวิธีถามของชาติชายเต็มไปด้วยความโกรธก่อนจะชี้มือไปยังผู้ชายวัยห้าสิบเศษรูปร่างท้วมแต่งตัวภูมิฐานที่กำลังนั่งถือเงินปึกใหญ่อยู่บนโซฟาหนังสัตว์เบื้องหน้า...”หรือหมายถึงไอ้แก่นั่น?
“อ้าวเฮ้ย! พูดจาให้มันดีๆหน่อย” ชายร่างท้วมตวาดแต่ชาติชายกลับไม่ได้สนใจยังคงพูดต่อ
“พี่ไม่คิดเลยนะทิพย์ว่าทิพย์จะโกหกพี่ เสียแรงที่พี่จริงใจกับทิพย์มาตลอด” ชายหนุ่มพูดจากความรู้สึกแท้จริง
“ทิพย์ไม่ได้หลอกพี่ชายนะคะแต่ลำพังแค่เงินเดือนหัวหน้าคนงานก่อสร้าง...” หญิงสาวกำลังจะพูดต่อแต่ถูกขัดจังหวะ
“หยุดพล่ามกันได้แล้ว...ที่แท้แม่งก็แค่กรรมกรข้างถนน เฮ้ย พวกมึงช่วยกันลากคอไอ้กุ๊ยข้างถนนสองตัวนี่ออกไปจากห้องของกูที” ชายร่างท้วมออกคำสั่ง พลันปรากฏชายชุดดำรูปร่างปราดเปรียวสี่คนปราดเข้ามาล้อมชายหนุ่มทั้งสองเอาไว้ตรงกลางเหมือนฝูงหมาป่าที่กำลังล้อมสองราชสีห์หนุ่ม ครั้งแรกที่ชาติชายพังประตูเข้ามาด้วยความโกรธเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าที่สองฝั่งของห้องโถงกว้างนี้ยังมีชายชุดดำนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยฝั่งละสองคน ส่วนยอดชายนั้นก็พึ่งสังเกตเห็นคนทั้งสี่ก่อนหน้าไม่นานแต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดแล้ว
ลักษณะของชุดสีดำที่กลุ่มชายทั้งสี่คนสวมใส่กับดาบซามูไรที่ถูกชักออกมาก็พอจะทำให้รู้ได้ว่าพื้นเพชาติกำเนิดของคนเหล่านี้มาจากที่ใดหากแต่ทางด้านฝีมือยังดูไม่ออกว่าจะมีลวดลายอันร้ายกาจใดซ่อนอยู่บ้าง ถึงแม้ชายหนุ่มทั้งสองจะมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำกว่าชายชุดดำทั้งสี่หากแต่ก็ยังเสียเปรียบทั้งด้านจำนวนคนและอาวุธเหตุการณ์จึงนับว่าคับขันอันตรายนัก
“กูให้พวกมึงเลือกเอาว่าจะตายอยู่ที่นี่หรือจะยอมทิ้งนิ้วโป้งขวาไว้แล้วรีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้ากู” ชายท้วมยื่นข้อเสนอด้วยวิธีพูดชวนขนลุก
ยอดชายรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้พวกตนยากจะมีเปรียบจึงคิดแผนกระตุ้นความทะนงตัวถือดีของอีกฝ่ายดังนั้นจึงพูดอย่างปลอดโปร่งเยือกเย็นว่า
“ที่แท้พวกซามูไรก็เก่งแต่ใช้อาวุธกับพวกมากเข้ารุมผู้คน ถ้าแน่จริงก็วางอาวุธแล้วมาสู้กันตัวต่อตัวแบบลูกผู้ชายสิวะกล้าหรือเปล่า?”
ทั้งยอดชายและชาติชายต่างคิดตรงกันว่าหากอีกฝ่ายยอมสั่งให้ลูกน้องวางดาบและมาสู้กันแบบตัวต่อตัวหรือต่อให้เป็นสี่รุมสองพวกเขาก็สามารถเอาชนะคนทั้งหมดนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นแต่ด้วยวัยและประสบการณ์ของชายท้วมที่มีมากกว่าสองหนุ่มเกือบยี่สิบปี...มีหรือที่จะมองแผนยั่วยุของยอดชายไม่ออกว่าหากยอมสั่งให้ลูกน้องทั้งสี่คนวางอาวุธนั่นเท่ากับส่งหมาป่าเข้าไปให้สิงโตหนุ่มขย้ำเล่นมีแต่จะตายเปล่าเพราะดูจากลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญและรูปร่างกำยำของทั้งคู่ ลูกน้องทั้งสี่ของมันไหนเลยจะเอามาเทียบเปรียบได้ ชายร่างท้วมหัวเราะอย่างเย็นชาแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนตวาดว่า...
”ฆ่ามัน!”
สิ้นคำสั่งของผู้เป็นนาย ชายชุดดำทั้งสี่ต่างจู่โจมอย่างดุร้ายหมายชีวิตแต่ละดาบที่ฟันออกแสดงเจตนาจะฟันเลือดเนื้อของชายทั้งคู่ออกมาเป็นชิ้นๆเพื่อให้นายของตนพึงพอใจมากที่สุด ทั้งยอดชายและชาติชายต่างปัดป้องหลบหลีกอย่างยากเย็น ระหว่างที่หลบหลีกยอดชายคิดจะพุ่งปราดเข้าไปจัดการกับชายร่างท้วมที่กำลังนั่งสูบซิก้าอยู่หลายครั้งแต่ทุกครั้งล้วนถูกชายชุดดำสองคนสะบัดดาบซามูไรขวางหน้าไว้ ทางด้านชาติชายเองก็ต้องรับมือกับชายชุดดำอีกสองคน...เขาคิดจะสยบศัตรูโดยการตะปบคว้าข้อมือของชายชุดดำทั้งสองแย่งชิงดาบซามูไรมาแต่ทว่าการกวัดแกว่งดาบของชายชุดดำพลิกแพลงรวดเร็วกอปรกับอาการบอบช้ำภายในของชาติชายกับยอดชายที่ต่อสู้ชกต่อยกันเมื่อสองวันก่อนรวมทั้งเรี่ยวแรงที่ใช้ในการยกแบกไม้สักทองขึ้นเขาเมื่อวานยังไม่ฟื้นฟูหายดีทำให้การเคลื่อนไหวติดขัดไม่คล่องแคล่วเหมือนในยามปกติ พริบตานั้นได้ยินเสียงดัง 'แควก' เหมือนผ้าเนื้อหนาถูกฉีกขาดที่แท้ขณะที่เคลื่อนไหวหลบหลีกยอดชายพลาดท่าล้มลงเสียงดาบของชายชุดดำฟันเข้ามาอย่างเร่งร้อน 'ขวับๆๆ' ชายหนุ่มจึงกลิ้งตัวหลบเลี่ยงแต่ปลายดาบยังคงฟันถูกต้นขาซ้ายจนผ้ากางเกงยีนส์ฉีกขาดโลหิตไหลหลั่งออกมาจำนวนหนึ่ง ช่อทิพย์ที่มองเห็นเหตุการณ์หวาดเสียวตรงหน้าอุทานดัง “อา” ขยับกายบอบบางหลบอยู่หลังชายร่างท้วม

เมื่อเห็นว่าการโจมตีประสบผลสามารถฟันถูกเป้าหมายได้รับบาดเจ็บชายชุดดำจึงคิดจู่โจมต่อเนื่องทันที ทางด้านชาติชายเมื่อเห็นว่ายอดชายพลาดท่าถูกคมดาบฟันที่ต้นขาก็บังเกิดความร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก จังหวะนั้นพอดีสามารถหลบเข้าวงในประชิดตัวชายชุดดำคนหนึ่งได้จึงเกร็งกำลังแขนทั้งหมดที่มีต่อยหมัดขวาใส่ร่างของมันอย่างแรง
'ปึ้ก!' ความรุนแรงจากหมัดของชาติชายครั้งนี่พอดีกระแทกถูกซี่โครงด้านซ้ายของชายชุดดำหักไปซี่หนึ่งจนร่างของมันกระเด็นหงายออกไปทว่าพริบตานั้นก็ถูกมือซ้ายของชาติชายคว้าจับคอเสื้อเอาไว้และเหวี่ยงโยนใส่ชายชุดดำอีกสองคนที่กำลังจะปราดเข้าไปตวัดดาบใส่ยอดชายที่นั่งคุกเข่าข้างเดียวเพราะกำลังจะตั้งหลักทรงกายลุกขึ้นยืน...
'พลั่ก' เสียงร่างของชายชุดดำที่ถูกสลัดเหวี่ยงออกไปกระแทกชนกับชายชุดดำอีกสองคนจนล้มไปด้วยกัน ชายชุดดำที่ถูกต่อยจนซี่โครงหักถึงกับนอนกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ วินาทีที่ชาติชายเหวี่ยงร่างของชายชุดดำเพื่อช่วยเหลือยอดชายเท่ากับการเคลื่อนไหวหลบหลีกของตนเองต้องหยุดชะงักลงชั่ววูบเป็นการเปิดช่องโหว่โอกาสให้ชายชุดดำอีกคนสะอึกเข้ามาลงมือ ชายชุดดำฟันดาบออกในแนวขวางปรากฎเงาแวววาวจากตัวดาบ...ชาติชายรีบกระโดดพุ่งตัวถอยหลังหลบเลี่ยงแต่ยังโดนปลายดาบกรีดเสื้อบริเวณหน้าอกฉีกขาดเป็นทางยาวบาดลึกถึงผิวกายแกร่งปรากฏโลหิตค่อยๆไหลซึมออกมาเลอะเสื้อเป็นด่างดวง โชคยังดีที่โดนเพียงส่วนปลายของคมดาบบาดแผลจึงไม่ลึกมากหากแม้เขากระโดดถอยหลังช้ากว่านี้สักครึ่งก้าวหนึ่งวินาทีต่อให้มีแผงอกแกร่งหนาปานใดก็ต้องถูกดาบซามูไรผ่าแยกออกจนเป็นสองส่วนตกตายในสภาพสยดสยองแล้ว
ทางด้านของชายชุดดำเมื่อเห็นพวกเดียวกันพลาดท่าถูกชาติชายต่อยและจับเหวี่ยงในพริบตาจึงเพิ่มความระวังมากกว่าเดิมกวัดแกว่งดาบเป็นวงคุ้มครองรอบกายในรัศมีสามเมตรป้องกันไม่ให้ชาติชายบุกเข้ามาประชิดตัวได้อีก ยามนั้นยอดชายเห็นชายชุดดำที่พึ่งถูกจับเหวี่ยงกระเด็นลงไปนอนทับพวกเดียวกันเองล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบวัตถุสีเงินวาววับชนิดหนึ่งออกมา ที่แท้ชายชุดดำที่ถูกชาติชายต่อยจนซี่โครงหักผู้นี้มีความสามารถในการใช้อาวุธลับสูงเยี่ยมและอาวุธสีเงินที่มันหยิบออกมาจากอกเสื้อนี้ก็คือมีดเงินขนาดเล็กที่ได้รับการขนานนามว่า ‘มีดบินยมฑูต - 死亡之神‘ ที่ผ่านมาศัตรูเข้มแข็งนับไม่ถ้วนล้วนต้องตายด้วยอาวุธลับชนิดนี้เพราะไม่ว่าศัตรูจะมีร่างกายแข็งแกร่งปานใดหากแต่ย่อมปรากฏจุดอ่อนเหมือนกันอย่างหนึ่งนั่นคือบริเวณลำคอและลูกกระเดือก มาตรว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้แต่ชายชุดดำนั้นยังฝืนใจรวบรวมเรี่ยวแรงอึดหนึ่งซัดมีดบินขนาดเล็กในมือออกพุ่งใส่ลำคอของชาติชาย มีดบินยมฑูตพุ่งแหวกฝ่าอากาศออกไปมีสภาวะเร่งร้อนรวดเร็วยิ่ง...เค้าแห่งความอำมหิตฉายชัดบนใบหน้าและแววตาชายชุดดำเพราะเห็นแน่ชัดว่าศัตรูของมันยากหลบหลีกรอดพ้นความตายในใจจึงบังเกิดความยินดี
ทว่าตั้งแต่วินาทีที่ยอดชายเห็นชายชุดดำล้วงมีดบินออกจากอกเสื้อก็พอจะคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก เมื่อชายชุดดำขยับข้อมือเตรียมสะบัดซัดอาวุธลับ ยอดชายจึงชิงพุ่งตัวเฉียงออกไปทางขวา ความจริงเขาก้าวเท้าด้วยความยากลำบากเนื่องจากบาดเจ็บบอบช้ำอยู่ก่อนแต่ตอนนี้ความเป็นความตายของพวกตนเฉกเช่นแขวนบนเส้นด้าย ไม่ทราบรวบรวมเรี่ยวแรงจากที่ใด เพียงชั่วพริบตาที่ชายชุดดำบังเกิดความยินดีหลังมีดบินพุ่งแหวกอากาศออกไปเหลืออีกเพียงไม่กี่เมตรเมื่อมีดบินบรรลุถึงเป้าหมายก็จะสามารถปลิดชีวิตของชาติชายลงได้แต่แล้วกลับปรากฏเงาร่างกำยำถลันวูบเข้ามาขวางไว้จากมุมที่เหนือความคาดเดา คมมีดพอดีปักเข้าที่แผงอกของบุรุษผิวเข้มบริเวณเหนือราวนมด้านขวา...'ฉึก' ถึงแม้แผงอกของยอดชายจะแน่นล่ำแต่ส่วนคมของใบมีดยังสามารถกรีดทะลวงจมลึกเข้าไปในเลือดเนื้อถึงสิบเจ็ดสิบแปดหุนหากแม้มีดนี้พุ่งใส่ลำคอของผู้คนไหนเลยยังจะสามารถรักษาชีวิตสืบต่อได้?
ยอดชายใช้มือซ้ายจับที่ด้ามมีดถอนดึงมีดสั้นออกจากแผงอกของตน...'ฟึ่บ' ทันทีที่มีดถูกดึงหลุดออกมาก็ปรากฏโลหิตสีแดงสดสายหนึ่งฉีดพุ่งออกจากปากแผล ชายหนุ่มใช้มือขวากดปากแผลไว้ในขณะที่สายตาเหลือบมองมีดสั้นในมือซ้ายพบว่าตัวมีดถูกแกะสลักอย่างประณีตมีลวดลายรูปดอกซากุระประทับอยู่ที่ปลายด้าม ส่วนใบมีดนั้นคมกล้าผิดธรรมดาคล้ายถูกหลอมสร้างจากโลหะธาตุพิเศษหลายชนิดรวมกัน นอกจากฝีมือการซัดปาอันแม่นยำของผู้ใช้อาวุธลับเองแล้วการจะสังหารศัตรูในระยะไกลเช่นนี้ได้ย่อมต้องอาศัยความแหลมคมของอาวุธพิเศษนี้เป็นส่วนสำคัญ
ยามนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบที่บาดแผลมองดูเลือดสดๆไหลล้นออกมาตามง่ามนิ้วมือที่กดแผลไว้พร้อมกับคิดขึ้น
‘เลือดยังคงมีสีแดงสดอยู่อีกทั้งแผลก็ไม่ได้รู้สึกคันชา แสดงว่าอาวุธลับนี้คงจะไม่ได้ฉาบทายาพิษเอาไว้’ จึงค่อยรู้สึกคลายใจลงได้บ้าง
ที่ผ่านมาการซัดอาวุธลับของชายชุดดำผู้นี้มีความแม่นยำอย่างที่สุดมุ่งใส่เพียงจุดตายของศัตรูไม่เคยพลาดเป้ามาก่อนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพิษร้ายใด หาคาดไม่ว่าครั้งนี้กลับเหนือความคาดหมาย ชายชุดดำเห็นแน่ชัดว่าการลงมือของตนนั้นแท้จริงไม่พลาดเป้าแต่กลับถูกขัดขวางนึกย้อนเสียดายว่าหากแม้นฉาบพิษเอาไว้แต่แรกย่อมไม่ผิดพลาดเช่นนี้ ยามรู้สึกเดือดดาลทำให้อาการบาดเจ็บที่ถูกชาติชายต่อยจนซี่โครงหักพลันทวีความเจ็บปวดรุนแรงเลือดลมสะดุดติดขัดกระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่งก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพล่ามัวสิ้นสติไปในที่สุด
ทางด้านชายร่างท้วมที่เห็นลูกน้องฝีมือดีของตนลงมือไม่ประสบผลก็โกรธจนหนวดกระดิกทิ้งซิก้าลงพื้นแล้วล้วงปืนพกสั้นออกมาจากเสื้อคลุมที่วางพาดอยู่บนพนักพิงข้างตัวปากก็ตะคอกใส่ชาติชาย
“กูจะดูว่าคราวนี้ใครจะช่วยมึงได้?” ...To be continued.

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 11 - ความฝัน

จันทราเต็มดวงลอยเด่นบนนภาดุจแก้วมณีแห่งรัตติกาลส่องสว่างมลังเมลืองลงมายังเทวาลัยบนเนินเขา พลันปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนกำลังก้าวเดินอย่างองอาจมั่นคงฝ่าความมืดขึ้นมาตามบันไดหินที่สองฝากข้างมีรูปปั้นพญานาคราชแผ่พังพานทอดตัวจากด้านล่างขึ้นสู่เบื้องบน เมื่อกลุ่มคนเดินขึ้นมาจนถึงชานพักต่างระดับโล่งกว้างซึ่งเหลือบันไดอีกเพียงเก้าขั้นก็จะถึงปากประตูทางเข้าเทวาลัย...คนทั้งหมดต่างชะงักเท้า แสงจันทร์สาดส่องจึงค่อยเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มคนที่ก้าวเดินขึ้นมามีทั้งสิ้นหกคนโดยยืนเป็นคู่ๆเรียงแถวตอนสองแถวๆละสามคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศร่างกายกำยำแข็งแรง ท่อนบนเปลือยโชว์กล้ามเนื้อหนั่นแน่นแข็งแกร่งโดยเฉพาะบุรุษสองคนผู้เดินนำหน้าขบวนนั้นมีกล้ามเนื้อใหญ่หนาล่ำสันบึกบึนกว่าชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ หากเมื่อชาติชายเพ่งมองเค้าใบหน้าของคนทั้งหกจำต้องถึงกับงงงันวูบเพราะถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งสองคนผู้เดินนำขบวนจะมีสีดอกเลาแซมอยู่ทั่วอันบ่งบอกว่าน่าจะอยู่ในวัยล่วงห้าสิบปีไปแล้วทว่าบุคลิกลักษณะรวมทั้งรูปลักษณ์ใบหน้า ปากคอคิ้วคางทุกประการล้วนเหมือนกับตนเองและยอดชายราวกับฝาแฝดและยิ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางของแต่ละแถวนั้นก็มีใบหน้าบุคลิกลักษณะเหมือนกับชาตรีและชัดชายบุตรของตนอย่างมิผิดเพี้ยนเพียงแต่ดูราวกับว่าในยามนี้ชาตรีและชัดชายเติบโตขึ้นจนอยู่ในวัยสามสิบเศษแล้ว สำหรับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยืนรั้งท้ายขบวนของแต่ละแถวนั้นแม้เค้าใบหน้าจะละม้ายคล้ายกับชาติชายและยอดชายรวมกันอยู่หลายส่วนแต่กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน มิทราบว่าเป็นผู้ใด? แต่คาดว่าน่าจะอายุราวสิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้นหากเพียงลักษณะท่าทางแววตาของเด็กหนุ่มทั้งสองกลับดูองอาจกล้าหาญเกินวัยและสิ่งที่สะดุดตาอีกประการคือคนทั้งหกมีเพียงหนังสัตว์ที่ตัดเป็นรูปทรงคล้ายรูปสามเหลี่ยมสั้นๆเพียงชิ้นเดียวคาดพันอยู่รอบเอวแกร่งเพื่อใช้ปิดบังอวัยวะเพศชายของตนไว้เท่านั้นดูไปคล้ายกับพวกทาร์ซานที่อาศัยอยู่ในป่าลึก...


error loaded



พิมพ์คำอธิบายที่นี่

ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนชาตรีกับชัดชายเดินปลีกตัวตรงไปยังกลองหนังสัตว์ที่วางตั้งสูงระดับอกอยู่ตรงชานพักในขณะที่บุรุษสองคนที่เดินนำขบวนต่างก้าวเดินอย่างผึ่งผายสง่างามตรงขึ้นไปยังทางเข้าเทวาลัยด้านบนโดยมีเด็กหนุ่มอีกสองคนเดินเว้นระยะห่างอยู่ข้างหลัง สองมือใหญ่หยาบแข็งแรงของผู้เดินนำหน้าทั้งสองคนผลักเปิดประตูทั้งสองบานผางออกพร้อมกับก้าวเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะดึงบานประตูกลับมาปิดไว้ตามเดิมและยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าซ้ายขวาของทางเข้าเทวาลัย
เมื่อเท้าใหญ่หนาเปลือยเปล่าของสองบุรุษล่วงล้ำเข้าสู่จุดลึกสุดของเทวาลัยอันเรียกว่า “ห้องพิธี” ซึ่งเป็นห้องปิดที่กว้างประมาณห้าเมตรที่เบื้องบนหลังคาห้องด้านในสุดติดกับผนังกำแพงถูกเจาะให้มีช่องเล็กๆสำหรับให้แสงจันทราส่องลอดเข้ามากระทบกับผิวน้ำในบ่อน้ำช่วยให้เกิดแสงสะท้อนสว่างภายในห้องมากขึ้น บุรุษทั้งสองเดินตรงไปยังเสาศิลาสูงเมตรเศษซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาหน้าบ่อน้ำ ส่วนบนของเสาศิลามีลักษณะบานออกคล้ายปากชามใบใหญ่ภายในบรรจุเชื้อเพลิงหลายชนิดพร้อมกับใช้หินลักษณะแปลกตาที่วางอยู่ข้างๆเสาศิลานั้นจุดไฟให้สว่างวาบขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะถอยกายกำยำกลับมายืนคู่กันอยู่ด้านหน้าบ่อน้ำ
เมื่อไฟจากเสาศิลาทั้งสองต้นถูกจุดขึ้น...เบื้องหน้าของบุรุษทั้งคู่ตรงกำแพงฉากหลังของบ่อน้ำถูกแกะสลักเป็นรูปเคารพสัดส่วนเทียบเท่ามนุษย์จริง...เทวรูปสี่กรเปลือยพระวรกายท่อนบนเผยให้เห็นความกำยำบึกบึนเฉกเช่นมหาบุรุษอยู่ในปางประทับนั่งขัดสมาธิบัลลังก์บนหลังพญาคชสารสองเศียรมองดูน่าเคารพเกรงขามยิ่ง
พระหัตถ์ของเทวรูปต่างกุมศาสตรากระชับมั่นคง...พระหัตถ์ขวาบนถือคันศรกับลูกศร พระหัตถ์ซ้ายบนถือบ่วงบาศสีแดงสดปานชโลมด้วยโลหิต พระหัตถ์ขวาล่างทรงถือขอช้าง(ขอกามคุณ) ส่วนพระหัตถ์ซ้ายล่างแบหงายอยู่ในปางประทานพร

แสงไฟที่กระทบกับผิวน้ำวูบวาบอยู่ภายในห้องทำให้ดูราวกับว่าพระกรทั้งสี่ข้างของเทวรูปสะบัดพลิ้วไหวไปตามพื้นผนังห้องราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ! คันศรกับลูกศรเป็นอาวุธของพระกามเทพแทนความรัก บ่วงบาศสีแดงหมายถึงความผูกพันที่คล้องใจคนทั้งสองไว้ด้วยกัน ขอกามคุณหมายถึงความกำหนัดในกามระหว่างคู่รัก หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสามสิ่งนี้ชีวิตคู่ย่อมพังทลาย ส่วนคชสารหรือช้างเป็นสัญลักษณ์แทนพละกำลังของบุรุษเพศ...ยามใดก็ตามหากกายและใจของบุรุษสองคนสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เท่ากับเป็นการผนึกกำลังอันแข็งแกร่งมั่นคงสองสายเข้าด้วยกันย่อมก่อเกิดพลานุภาพเพิ่มพูนเปี่ยมล้นอุปมาเหมือนดั่งคชสารสองเศียรนี้ ความหมายโดยรวมของเทวรูปแกะสลักเบื้องหน้าจึงหมายถึงการจะหลอมรวมกายและใจของบุรุษเพศสองคนเข้าด้วยกันได้ย่อมต้องกอปรขึ้นจาก ความรัก ความผูกพันและความกำหนัดในกามระหว่างกันเป็นเครื่องผูกคล้องชายสองคนไว้ด้วยกันโดยมีพระกามเทพเป็นผู้ลิขิตควบคุมสูงสุด...บุรุษที่มีใบหน้าเหมือนกับชาติชายและยอดชาย ทั้งคู่คุกเข่าลงเบื้องหน้าเทวรูปพร้อมกับหมอบกราบลงอย่างช้าๆด้วยความเคารพยำเกรง

“โอม! กามาเทวะ...นมัส” มนต์บูชามหากามเทพ...เทวะราชันแห่งชายรักชายกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงกลองจากด้านนอกดังรัวเป็นจังหวะอันเร้าใจบ่งบอกว่า 'พิธีกรรมพลีกามบูชาเทพ' กำลังจะเริ่มขึ้นภายใต้บรรยากาศในห้องพิธีที่อวลอบไปด้วยกลิ่นคาวแห่งกามโลกีย์วิสัยระหว่างบุรุษกับบุรุษคละคลุ้งสะกิดชวนให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้อย่างง่ายดาย
หลังจากบุรุษทั้งสองคนหมอบกราบรูปเคารพขององค์กามเทพครบสามครั้งจึงค่อยหันหน้าเข้าหากันในลักษณะคุกเข่าอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ต่างฝ่ายต่างปลดหนังสัตว์ที่ผูกติดที่เอวของตนออกเผยให้เห็นเครื่องเพศแห่งความเป็นชายครบสมบูรณ์ทั้งลำลึงค์แข็งหนาใหญ่ยาวที่ชี้โด่เข้าหากัน ถุงไข่ใบเขื่องห้อยยานอยู่ใต้ลำลึงค์ราวกับจะท้าทายข่มขวัญอีกฝ่ายและถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งคู่จะเริ่มมีสีดอกเลาแซมให้เห็นอยู่ทั่วศีรษะแต่ดงหมอยกับขนรักแร้กลับยังคงมีสีดำขลับและดกยาวไม่ต่างจากเมื่อครั้งสมัยยังเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แม้แต่น้อย
ชาติชายมองภาพเหตุการณ์ด้วยความตะลึงงันในขณะที่บุรุษคู่ตรงหน้าต่างกำลังเบ่งกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นไร้ไขมันอวดโชว์กันในระยะประชิดเพื่อเร่งความกำหนัดเร้าใจของอีกฝ่ายให้พุ่งทะยานถึงขีดสุด แววตาหื่นกามของบุรุษทั้งคู่ต่างสำรวจซอกซอนไปทุกอณูเนื้อแกร่งสง่างามของกันและกัน ในบางจังหวะที่แววตาของบุรุษทั้งสองสบกันบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความต้องการทางเพศอย่างเปี่ยมล้นจนลำลึงค์ที่แข็งโด่มีเส้นเลือดแผ่พันปูดโปนอยู่โดยรอบตอบสนองอารมณ์เงี่ยนด้วยการกระดกหัวที่ถอกบานหงึกๆๆๆอย่างสุดระงับก่อนที่บุรุษเพศทั้งสองจะใช้มือหยาบกร้านสัมผัสลูบไล้เล้าโลมไปตามเรือนร่างแกร่งกล้ามเปลือยเปล่าของกันและกัน จากนั้นจึงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหากันช้าๆจนสูดดมได้กลิ่นเหงื่อแห่งความเป็นชายและลมหายใจอันร้อนผ่าวป่าเถื่อนของกันและกันก่อนจะประกบริมฝีปากหยาบหนาบดจูบแลกลิ้นกันอย่างดิบเถื่อนเผ็ดร้อน ร่างแกร่งกล้ามสองร่างกอดรัดประกบเข้าหากันราวกับจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวโดยมีเทวรูปเป็นฉากหลัง...ในระหว่างที่ชาติชายกำลังตกตะลึงอยู่ในภวังค์กับภาพตรงหน้าพลันบังเกิดสุ้มเสียงอหังการกังวานแว่วดังดุจระฆังทองซ้อนขึ้นมาในจิต
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” พร้อมกับภาพตรงหน้าเมื่อครู่ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆจนในที่สุดกลายเป็นความมืดมิด...
สุ้มเสียงลี้ลับปริศนาที่ดังแว่วมานี้เต็มไปด้วยอานุภาพอำนาจบารมีอย่างที่ชาติชายไม่เคยได้ยินและรู้สึกเช่นนี้มาก่อนในชีวิตราวกับไม่ใช่เสียงของบุรุษทั่วไปที่เป็นมนุษย์ แม้ในใจของชายหนุ่มจะเกิดความยำเกรงต่อเสียงที่ได้ยินแต่ยังคงย้อนถามด้วยความเคยชินตามสันดานหยาบของผู้ชายออกไปว่า
“ใครวะ?” หากแต่เสียงที่ตอบกลับมาคล้ายสะท้อนก้องอยู่ในหัวสมอง...
“ข้าคือกามเทวามหาบุรุษ บุตราแห่งมหาเทพผู้กำหนดความเป็นไปแห่งรักของสรรพสัตว์ทั้งปวง”
“ต้องการอะไร?” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะจากประโยคเมื่อครู่ที่บอกว่าเขากับช่อทิพย์ไม่ใช่เนื้อคู่กัน
“เจ้าทั้งสองคือขุนพลผู้เป็นอณูแห่งข้าและมีหน้าที่ๆจะต้องกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคือ...ชะตากรรม!”
“อณู...หน้าที่...ชะตากรรมอะไร?” ชาติชายย้อนถามไม่ลดละ

เสียงพระสรวลกังวานก่อนจะตรัสว่า...
“ดวงดาวที่แตกดับ
ผันคืนกลับดังอดีต
ด้วยข้าลิขิตขีด
สองขุนศึกรับบัญชา
หน้าที่ของพวกเจ้า
คือร่วมเพศเสพกามา
เพิ่มพูนฤทธิ์แห่งข้า
แนบประสานความเป็นชาย!”

การเกิดใหม่เปลี่ยนภพชาติทำให้ชาติชายไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้หากแต่ท้ายสุดคล้ายได้ยินประโยคของตนเองในอดีตชาติลอยล่องมาแต่ไกลอย่างแผ่วเบาแต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นชัดเจนยิ่ง...
“กระหม่อมขอน้อมรับพระบัญชา...”

เฮือก!...ชาติชายสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่ง...’ฝันเหรอ ทำไมมันเหมือนจริงจังวะ?’ ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากผุดพรายขณะที่สายตากวาดมองรอบห้อง ชัดชายกับชาตรียังคงนอนหลับอยู่ข้างเตียงหากแต่เตียงของยอดชายกลับว่างเปล่า

ยามนี้ท้องฟ้าใกล้สว่างสางชาติชายจึงขยับลุกไปเข้าห้องน้ำล้างตัว กล้ามเนื้อที่ฟกช้ำบาดเจ็บจากการชกต่อยกับยอดชายเมื่อวานซืนและการใช้งานอย่างหนักเมื่อวานในการแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบเริ่มส่งผลปรากฏชัดโดยการปวดระบมมากกว่าเมื่อวานหลายเท่าราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆหากแต่ชายชาติพยัคฆ์ไหนเลยจะแสดงอาการโอดครวญอ่อนแอออกมาให้โลกเยาะหยันเยี่ยงอิสตรีได้ ยอดชายเองก็เช่นกัน...หลังจากตื่นนอนเขาก็รู้สึกปวดแปลบไปทั่วตัวหากแต่ว่ายังคงฝืนหยัดกายลุกออกจากห้องไปเพราะมีบางอย่างต้องการพิสูจน์และเมื่อชาติชายล้างตัวใส่เสื้อผ้าเดินออกจากห้องมาก็เห็นยอดชายรวมทั้งไอ้แดงกับไอ้ดำพากันเดินลงจากเขามา
“พวกมึงขึ้นไปทำอะไรกันมาวะ?” ชาติชายถามด้วยความแปลกใจเพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานแต่ยอดชายที่เดินนำหน้าไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนจะเดินเข้าห้องพักไปยิ่งสะกิดความสงสัยของคนถามให้อยากรู้มากกว่าเดิมจึงหันไปถามลูกน้องคนสนิทของตนแทน...
“ไอ้แดง...ว่าไงมึง?”
“เมื่อเช้าผมเห็นลูกพี่...เอ่อ” ไอ้แดงไม่แน่ใจว่าชาติชายยอมให้ตนเรียกหายอดชายเป็นลูกพี่ได้หรือยัง? ดังนั้นพอพูดถึงคำว่าลูกพี่คำพูดจึงสะดุดลงแต่เหมือนชาติชายจะอ่านใจลูกน้องออกจึงพูดว่า
“กูกับไอ้ยอดปรับความเข้าใจกันแล้ว มึงเล่าต่อไป”
ไอ้แดงกับไอ้ดำมองหน้ากันก่อนที่ไอ้แดงจะเป็นคนเล่าต่อไปว่า
“เมื่อเช้าพวกผมตื่นมาเห็นลูกพี่เค้าออกมาจากห้องท่าทางรีบร้อนเดินขึ้นเขาไปคนเดียว ผมกับพี่ดำแปลกใจเลยตามขึ้นไปดู พอไปถึงก็เห็นลูกพี่กำลังจะเดินเข้าไปในดงไม้ที่มันไม่มีทางเดินแต่พวกผมเรียกไว้ก่อน พอถามว่าเกิดอะไรขึ้นลูกพี่เค้าก็บอกว่าไม่มีอะไรและก็พากันเดินลงเขามานี่แหละครับ” คนเล่าเหตุการณ์แสดงสีหน้าแปลกใจคล้ายกับจะถามความเห็นของคนฟัง
ชาติชายพอฟังเรื่องราวก็ยังขบคิดไม่เข้าใจได้แต่บอกว่า “เดี๋ยวเรื่องนี้กูจะถามไอ้ยอดมันเอง พวกมึงไปเตรียมตัวทำงานเถอะนี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว”

ยอดชายเดินเข้าห้องพักเพื่อไปปลุกชาตรีลูกชายของตนรวมทั้งชัดชายให้ลุกไปอาบน้ำล้างตัวแล้วจึงขับรถพาเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปส่งที่ขนส่งก่อนจะกลับมาทำงานต่อจนกระทั่งห้าโมงเย็นจึงนั่งรถไปกับชาติชายเพื่อไปเคลียร์ปัญหาหัวใจกับช่อทิพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวานแต่ระหว่างทางที่ชาติชายทำหน้าที่เป็นสารถีเขาก็คิดถึงความฝันเมื่อตอนก่อนรุ่งสางที่ว่า
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” แม้จะเป็นคำพูดในความฝันที่ดูช่างเลื่อนลอยไร้สาระหากแต่กลับสามารถสั่นคลอนความรู้สึกของชาติชายได้อย่างน่าประหลาดเพราะคำพูดจากบุรุษปริศนาในฝันนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นคำพูดประกาศิตที่ไม่อาจไม่เชื่อได้...

“โอม! กามาเทวะ...นมัส” ชาติชายเอ่ยมนต์บูชาพระกามเทพที่ได้ยินในความฝันขึ้นมาเบาๆคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจหากแต่เพราะอยู่ในรถจึงทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย...ยอดชายที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปมองก่อนจะถามด้วยท่าทางประหลาดใจขึ้นว่า
“มึงไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน?”
ด้วยเพราะชาติชายกำลังใช้ความคิดประกอบกับใช้สมาธิในการขับรถไปด้วยคำพูดที่ออกจากปากมาเบาๆเมื่อครู่เขาจึงไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยจึงถามกลับไปว่า
“คำพูดอะไรวะ?”
“โอม กามาเทวะ...นมัส มึงไปเอามาจากไหน?” ยอดชายถามซ้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูฝัน...มีไรวะ?” ชาติชายตอบไปตามความจริงโดยที่สายตายังคงมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
“มึงอย่าบอกนะว่ามึงฝันเห็นเทวรูปสี่กรด้วย!?”
เอี๊ยดดด!...ชาติชายเบรครถกระทันหัน โชคดีที่เป็นถนนในหมู่บ้านชนบทที่นานๆทีจึงจะมีรถขับผ่านมาซักคัน

“มึงรู้ได้ยังไง?” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย คำถามเต็มไปด้วยความสงสัยเปี่ยมล้นเพราะชายหนุ่มแน่ใจว่าตั้งแต่ที่เขาฝันเมื่อตอนเช้ามืดมาจนกระทั่งวินาทีนี้ยังไม่เคยเล่าความฝันนั้นให้ใครได้ฟังเลยแม้แต่คนเดียว!...To be continued.

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 10 - พลังแห่งมิตรภาพของลูกผู้ชาย

ทันทีที่ชาตรีฟันมือลงซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน ร่างสูงใหญ่กำยำหนึ่งขาวหนึ่งคล้ำเข้มต่างโถมพุ่งอย่างสุดกำลังไปยังกองไม้สักที่วางสุมกันตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างจับส่วนปลายของเสาไม้สักคนละต้นก่อนจะออกแรงเกร็งกำลังแขนดึงท่อนไม้ที่วางอยู่ด้านบนสุดให้เลื่อนออกมาจากกองไม้ ซึ่งเสาไม้แต่ละต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวยี่สิบห้าเซ็นติเมตรพอดีเหมาะกับมือที่ใหญ่หนาแข็งแรงของชายหนุ่มทั้งคู่..."ครืดดดด" เสียงท่อนไม้หนาหนักเกือบสามร้อยกิโลกรัมถูกดึงครูดให้เคลื่อนที่ออกจากกองไม้จนตะแคงลงมาเกือบสี่สิบห้าองศากระแทกกับพื้นดินดัง "ตึ้บบบ" ผิวของไม้เนื้อแข็งที่ขูดและกระแทกกับพื้นหาเป็นรอยใดๆไม่...สมกับที่เป็นไม้เนื้อแข็งอันล้ำค่า จากนั้นทั้งยอดชายและชาติชายต่างฝ่ายต่างใช้บ่าของตนสอดเข้าไปหนุนรับน้ำหนักของเสาไม้สักที่เอียงเกือบสี่สิบห้าองศาเอาไว้ก่อนจะขยับออกทางด้านข้างเพื่อให้ท่อนไม้เลื่อนออกมาจากกองไม้และพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้างอย่างสมดุลมั่นคง
กล้ามเนื้อที่หยาบหนาของชายหนุ่มทั้งสองคนเกร็งตัวออกแรงแบกรับน้ำหนักจนเห็นลวดลายมัดกล้ามแตกออกเป็นริ้วปรากฏเส้นเลือดปูดโปนแตกแขนงพาดผ่านไปมาทั่วร่างราวกับลายแทงขุมทรัพย์
ต่างฝ่ายต่างแข่งกันแบกเสาไม้สักมุ่งหน้าก้าวเดินขึ้นเขาทีละก้าวแบบไม่มีใครยอมใครรอบแล้วรอบเล่าจนเหล่ากองเชียร์ที่เดินตามขึ้นลงเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากันก่อน บ้างก็หยุดนั่งดูระหว่างทาง บ้างก็รอดูอยู่เชิงเขา บ้างก็เดินขึ้นไปรออยู่บนเขาเพื่อดูว่าใครจะชนะโดยที่ไม่เดินตามชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นลงเขาอีกเหมือนช่วงแรกๆเพราะหมดแรง เสาไม้สักถูกขนย้ายขึ้นมากองรวมกันบนเขาได้สิบสี่ต้นเท่ากับว่าชายหนุ่มทั้งสองคนต่างขึ้นลงเขามาแล้วคนละเจ็ดรอบ แม้มัดกล้ามของบุรุษทั้งคู่จะแข็งแกร่งสมบูรณ์แต่จะอย่างไรก็สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อย่อมมีเหนื่อยล้าเมื่อใช้แรงอย่างหนักและต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้อีกสามรอบที่เหลือต้องใช้เวลาแบกเสาไม้สักเดินขึ้นเขานานขึ้นกว่ารอบแรกๆตามลำดับ เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายไหลอาบชโลมผิวกายหยาบหนาแกร่งกร้านของชายหนุ่มทั้งคู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันมะเมื่อมไปทั้งตัวให้ความรู้สึกเหนียวอับอย่างบอกไม่ถูก กางเกงในเก่าๆของชายหนุ่มทั้งสองคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากขนรักแร้กับเส้นหมอยอันหยาบสากดกดำล้วนส่งกลิ่นอับเหงื่อโชยชายอยู่รอบกายคนทั้งสอง ยิ่งเดินแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบมากเท่าไหร่แผงอกแน่นกล้ามของชายหนุ่มทั้งคู่ยิ่งสะท้อนขึ้นลงถี่ขึ้นตามลำดับ บอกได้ถึงความเหนื่อยหอบที่มากขึ้นตามจำนวนรอบที่ออกแรง ความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องฟันฝ่าเอาชนะกันไม่เพียงแค่น้ำหนักหลายร้อยกิโลที่ต้องแบกรับไว้บนบ่าหากแต่เป็นทางลาดชันขึ้นเขาที่ยิ่งเร่งความเหนื่อยล้าให้มากขึ้นเป็นเท่าทวี
"ตึ้บบบบ" เสียงเสาไม้สักทองต้นที่สิบเก้าและยี่สิบถูกวางกระแทกลงบนพื้นดินพร้อมกันนั่นเท่ากับว่ามาถึงตอนนี้ผลการแข่งขันยังคงเสมอกัน กลุ่มคนงานที่รอเชียร์อยู่เชิงเขาต่างพูดคุยกันเสียงดัง...
“ต้นสุดท้ายแล้วโว้ย”
“ใครจะยกไหววะเนี่ย ต้นใหญ่ขนาดนี้”
ชาตรีซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินร่วมกับชัดชายจึงพูดว่า...
“ตอนนี้ผลการแข่งยังถือว่าเสมอกันอยู่ครับ ไม้สักทองต้นสุดท้าย ใครยกขึ้นไปวางบนเขาได้ ถือว่าเป็นผู้ชนะ”
เสาไม้สักต้นสุดท้ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งไม้บรรทัดเศษซึ่งมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่าเสายี่สิบต้นก่อนหน้าเกือบเท่าตัว ยอดชายกับชาติชายต่างมองหน้ากันก่อนที่ชาติชายจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“กูขอลองก่อน” พูดจบชาติชายก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ตอนนี้พยายามขยับยกเสาไม้สักต้นสุดท้ายหากแต่พอเสาไม้ขยับสูงจากพื้นได้เพียงสามไม้บรรทัดแรงที่ใช้ออกคล้ายถูกถมลงสู่ท้องทะเลหายสาบสูญไม่สามารถขยับยกให้สูงกว่านี้ได้อีก สุดท้ายจึงต้องวางลงที่เดิมปล่อยให้ยอดชายเป็นฝ่ายลองบ้าง ซึ่งเมื่อยอดชายลองใช้กำลังที่เหลือของตนขยับยกเสาไม้ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างจากอีกฝ่ายคือไม่สามารถยกเสาไม้สักที่มีน้ำหนักเกือบห้าร้อยกิโลขึ้นมาพาดบ่าได้ ขณะที่ยอดชายกำลังพยายามออกแรงจนหน้าแดงก่ำแต่ทว่าไม้สักก็ตะแคงสูงเหนือพื้นขึ้นมาระดับเอวเท่านั้นแต่แล้วจู่ๆชาติชายที่ยืนดูอยู่ด้านข้างกลับก้าวเดินเข้ามาสอดมือทั้งสองไปใต้เสาไม้ออกแรงช่วยยอดชายสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาลูกน้องคนงานที่ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ ชัดชายกับชาตรีเองก็ถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงแปลกใจ หากแต่ในใจย่อมรู้สึกยินดีเพราะถือเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าพ่อของพวกตนกำลังจะแปรเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรสหายกัน รอยร้าวกำลังจะถูกเชื่อมประสาน!...มิตรภาพระหว่างลูกผู้ชายหลายครั้งมักก่อกำเนิดเกิดขึ้นในสนามการต่อสู้แข่งขันกันเช่นนี้ หากการต่อสู้กันเพียงหวังผลแพ้ชนะแต่ไม่สามารถทำงานใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ยังจะมีประโยชน์อันใด?
ชายหนุ่มทั้งคู่ส่งเสียงคำรามก้องออกแรงประสานกันอย่างสุดกำลัง...“ย๊ากกกก!!”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังความกร้าวแกร่งของบุรุษหนุ่มสองคนดังสะท้านกึกก้องทั่วหุบเขา เมื่อบุรุษเพศสองคนร่วมใจทุ่มเทกำลังหนุนเนื่องส่งเสริมกันและกันเช่นนี้ต่อให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ใหญ่หลวงหรือหนักหนาสาหัสกว่านี้ย่อมสามารถช่วยกันฟันฝ่าไปได้ในที่สุด...ไม้สักทองค่อยๆถูกยกสูงมากกว่าเดิมจนทำให้ชาติชายสามารถสอดตัวเข้าไปใต้ท่อนไม้ ยอดชายก็เอาบ่าอันกำยำบึกบึนของเขารองรับไว้ใต้เสาไม้อีกด้าน  ในที่สุดเสาไม้สักขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นวางพาดอยู่บนบ่ากำยำล่ำบึ้กของชายหนุ่มทั้งสองคนได้สำเร็จท่ามกลางเสียงเฮและปรบมือดีใจจากบรรดากองเชียร์ของทั้งคู่
กล้ามเนื้อของยอดชายกับชาติชายต่างเขม็งเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนทั่วสรรพางค์ ทั้งคู่กัดฟันออกแรงจนมองเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ บนใบหน้า สองข้างแก้มและเนื้อตัวอันหนั่นแน่นของชายหนุ่มทั้งสองมีหยาดเหงื่อไหลรินหลั่งตลอดเวลาที่ช่วยกันแบกเสาไม้สักหนักเกือบห้าร้อยกิโลกรัมเดินขึ้นเขาทีละก้าว ใบหน้าหล่อคมของชาติชายและใบหน้าหล่อเข้มของยอดชายต่างแดงก่ำ จนกระทั่งในที่สุดบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ทั่งคู่ค่อยๆย่อตัวทิ้งเสาไม้ลงกับพื้นพร้อมกัน...
"ปึกกกก!" เสียงทึบแน่นของไม้เนื้อแข็งต้นสุดท้ายกระแทกลงบนพื้นดินด้วยความร่วมแรงกันของลูกผู้ชายสองคนซึ่งการยกแบกขนย้ายไม้สักทองทั้งยี่สิบเอ็ดต้นใช้เวลารวมทั้งสิ้นสี่ชั่วโมงเศษจึงแล้วเสร็จ
"เฮ..." เสียงโห่ร้องปรบมือดีใจอย่างชื่นชมของบรรดาลูกน้องกองเชียร์ดังเกรียวกราว
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น สองร่างสูงใหญ่กำยำต่างทรุดฮวบนั่งกระแทกลงกับพื้นราวกับนัดแนะ แผงอกกว้างหนาบึกบึนสะท้อนขึ้นลงตามลมหายใจที่ีหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าเพราะใช้เรี่ยวแรงไปจนเกือบหมดสิ้น เหงื่อกาฬไหลหลั่งอาบชโลมทั่วร่างแกร่งจนกางเกงในของทั้งคู่เปียกแฉะอับชื้น ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่าบรรดากองเชียร์ ชาตรีและชัดชายต่างรีบเข้ามาหาบิดาของตนพร้อมถามอาการด้วยถ้อยคำแสดงความห่วงใยกตัญญู...
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ?” พร้อมกับถอดเสื้อของตนเพื่อใช้สะบัดพัดให้ผู้เป็นพ่อ
ไอ้แดงกับไอ้ดำรีบเข้ามาดูอาการลูกพี่ของตนพร้อมกับกล่าวชมไม่ขาดปาก
”ทีแรกผมคิดว่าจะไม่ไหวซะแล้ว โดยเฉพาะเสาต้นสุดท้ายเนี่ยจะยกยังไงคนเดียวไหว สุดยอดเลยลูกพี่ แรงเยอะยังกับคิงคองกอลิลล่าด้วยกันทั้งคู่ ฮ่าๆๆ” ไอ้แดงพูดไปหัวเราะไป
“กูว่าเหมือนยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์มากกว่าว่ะ ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำกล่าวสมทบพร้อมกับทำหน้าตาขึงขังเลียนแบบยักษ์ดูตลกพิกล
“เฮ้ยๆ ถึงกูจะเหนื่อยอยู่แต่ก็ยังพอมีแรงยกขาเตะมึงอยู่นะเว้ยไอ้ดำ” ยอดชายพูดปนหอบหายใจขณะที่แผ่นหลังบึกบึนแกร่งกล้ามของเขากับชาติชายพิงกันแนบชิด
“กูก็ยังมีแรงพอจะเตะมึงได้นะไอ้แดง” ชาติชายกล่าวเสริม
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงลูกน้องคนงานที่มายืนดูการแข่งขันต่างเดินกลับลงจากเขาไปกันซักพักแล้วชาติชายจึงบอกกับชัดชายและไอ้แดงว่า
“พวกมึงลงจากเขาไปก่อนกูมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับไอ้ยอดหน่อย เสร็จแล้วจะตามลงไป”
ประโยคนี้ถึงแม้จะเป็นการบอกกับชัดชายและไอ้แดงแต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการคุยตามลำพังกับยอดชาย ทางด้านชาตรีและไอ้ดำก็มองหน้ายอดชายคล้ายกับจะถามความต้องการของชายหนุ่ม ซึ่งยอดชายก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
“พวกมึงก็ลงไปก่อน เดี๋ยวกูคุยธุระเสร็จจะตามลงไป”
เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่เดินลงจากเขาลับตาไปแล้วชาติชายจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อชะตาฟ้ากำหนดให้มึงกับกูไม่อาจตัดสินชี้ขาดกันด้วยกำลังได้ งั๊นก็ต้องให้ทิพย์เป็นคนตัดสิน!”
“ยังไงวะ?” ยอดชายถามขณะที่แผ่นหลังแกร่งกล้ามเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดกันในลักษณะนั่งเหยียดขาหันหน้าไปคนละด้านเอาหลังพิงกัน
“พรุ่งนี้มึงกับกูไปถามทิพย์ตรงๆเลยว่าจะเลือกใคร?” ชาติชายกล่าวอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา
“เออ ก็ดีเหมือนกัน” ยอดชายกล่าวเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
               ทั้งคู่ขยับหันกายแกร่งมาจับมือกันในลักษณะนั่งอยู่ข้างกันแทนการนั่งเอาหลังชนกันแบบเมื่อครู่ การจับมือถือเป็นการสมัครพร้อมใจว่าหากฝ่ายหญิงเลือกใครก็ตามถือเป็นข้อยุติความขัดแย้ง
           วินาทีที่หันหน้ามาจับมือกัน...ด้วยความดกดำของเส้นหมอยที่โดดเด่นแผ่รอดออกมาจากขอบกางเกงในอยู่ตรงง่ามหว่างขาทำให้แว๊บนึงของสายตาทั้งคู่ต่างสังเกตเห็นว่าหมอยของแต่ละฝ่ายที่ไล่ลามจากใต้สะดือเข้าไปภายในกางเกงในอันขะมุกขะมอมอับกลิ่นเหงื่อนั้นน่าจะมีความรกดกดำพอๆกัน เส้นหมอยแต่ละเส้นที่โผล่ทะลักลอดออกมาดูหนาแข็งหงิกงอและให้ความรู้สึกหยาบสากได้อย่างน่าประหลาดใจ อดคิดต่อไปไม่ได้ว่าภายใต้ผ้ากางเกงในเนื้อหยาบมอซอที่โป่งนูนเป็นห่อหมกปิดบังดงหมอยกับสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายอยู่นั้นหากเปิดออกมาวัดกันจริงๆแล้ว หมอยของใครจะหยาบยาวแข็งสากและรกชัฏกว่ากัน?
               ปกติแล้วผู้ชายด้วยกันย่อมไม่อายแม้ว่าจะต้องแก้ผ้าจนเห็นเครื่องเพศของกันและกันซึ่งทั้งยอดชายและชาติชายต่างก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด หากแต่ระยะเวลาเกือบสองเดือนมานี้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของสองชายหนุ่มเมื่อได้กลิ่นเหงื่อของอีกฝ่ายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ทำให้เมื่อทั้งคู่ต่างรู้สึกตัวว่าสายตาของแต่ละฝ่ายกำลังเผลอมองเส้นขนอันโดดเด่นเป็นสง่าสมชายชาตรีของกันและกันโดยบังเอิญอยู่นั้นกลับทำให้เขาทั้งสองเกิดความรู้สึกกระดากวูบจนยอดชายต้องเป็นฝ่ายหันเหเบี่ยงความสนใจไปที่บทสนทนาแทน...
“กูถามอะไรมึงอย่างได้มั๊ยวะ?” ยอดชายกล่าวเบี่ยงประเด็นแก้ความรู้สึกกระดากเมื่อครู่
ผู้ชายที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันและไม่เคยคิดจะมีมาก่อน อยู่ๆรู้ตัวว่าเผลอมองหมอยกันจนควยเริ่มแข็งตัวขึ้นมาแม้จะแค่ชั่วครู่ก็ต้องชวนให้เกิดความรู้สึกกระดากบ้างเป็นธรรมดา ทางด้านชาติชายก็แกล้งไหลตามน้ำเพราะความกระดากเช่นเดียวกันจึงกล่าวว่า
“ลองถามมากูฟังอยู่”
               “ทำไมถึงไปหลงรักช่อทิพย์ได้ เมียมึงไปไหนวะ?” คำถามนี้ของยอดชายหากเป็นเมื่อหลายวันก่อนคงได้ตะบันหน้ากันอีกยก หากแต่ตอนนี้ความรู้สึกของชาติชายที่ไม่ได้อคติกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนจึงเล่าเหตุการณ์เรื่องเมียตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่า
“กูหย่ากับเมียกูตั้งแต่ที่ไอ้ชัดอายุได้แปดขวบ” แววตาหล่อคมของชาติชายดูหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า...
“มึงคงอยากรู้สาเหตุใช่มั๊ย?...สาเหตุอยู่ที่ทั้งตัวกูและก็เมียกู กูอาจจะผิดที่เป็นผู้ชายที่ขี้เงี่ยนเย็ดเมียบ่อยจนเมียทนไม่ได้ปัญหาเตียงหักรักไม่ลงตัวจากความต้องการที่ไม่ตรงกันก็เลยตามมา ส่วนเมียกูหลังๆก็เริ่มติดพนันงอมแงมจนไม่สนใจลูกและที่ทำให้กูสุดจะทนก็คือ...” ชาติชายเว้นจังหวะเล็กน้อยเหมือนกำลังสะกดข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ก่อนจะพูดต่อ...
“เมียกูยอมพลีกายให้ชายอื่นเพื่อล้างหนี้พนัน” สิ้นคำบอกเล่าของชาติชายบรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท ทั้งคู่ไม่มีใครกล่าวอะไรต่อ ยอดชายรับรู้ได้ถึงความอัดอั้นในหัวใจของอีกฝ่ายเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายย่อมเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกันได้ดี ความเงียบงันเข้าปกคลุมจนผ่านไปครู่ใหญ่ ยอดชายจึงทำลายความเงียบชวนอึดอัดด้วยการถามว่า...
“เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยมึงถึงเกลียดการพนันและสั่งไม่ให้ลูกน้องเล่นการพนันให้มึงเห็น? มิน่ากูมาที่นี่ไม่เห็นมีวงไฮโล วงไพ่ ปกติทุกๆที่ ที่กูไปคุมงานต้องมีวงไพ่วงไฮโลให้เห็นตลอด”
ชาติชายไม่ได้ตอบคำถามแต่นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
“จนกระทั่งกูมาเจอกับทิพย์ เกือบปีได้ ทิพย์เป็นผู้หญิงสวยเอาใจเก่งและกูก็ชอบทิพย์มาก กูขอมีลูกกับทิพย์ก่อนที่มึงจะมาอยู่ที่นี่ กูคิดว่าถ้ากูมีลูกกับทิพย์จะได้เอาทิพย์ออกมาอยู่ด้วยกันซักทีแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทิพย์จะท้องกับกู จนกระทั่งมึงเข้ามา” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ
“ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมเสือกมายุ่งกับทิพย์ของกู เมียมึงไปไหนวะ?” สีหน้าของชาติชายที่ดูหม่นลงเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนยอดชายที่ถูกย้อนถามกลับด้วยคำถามเดียวกันสีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชาเฉกเดิมก่อนจะเล่าเรื่องเมียของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“กูกับแม่ไอ้ตรีเรารู้จักกันตั้งแต่ที่กูพึ่งอายุได้ยี่สิบ กูทำงานก่อสร้างหาเลี้ยงตัวเองส่วนแม่ไอ้ตรีก็กำลังอยู่ในวัยเรียน แม่ไอ้ตรีเค้าเป็นลูกคุณหญิงแต่บังเอิญมาเจอกัน...มึงคงเดาเรื่องราวต่อได้” ยอดชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“มึงเลยโดนยัยคุณหญิงนั่นกีดกันความรัก?” ชาติชายเดาราวกับยิงธนูตรงเป้า
“แม่ไอ้ตรีหนีตามกูมา เรามีอะไรกันจนมีไอ้ตรี"
'ก็มึงหล่อเข้มซะขนาดนี้ ถ้าจะมีผู้หญิงใจแตกหนีตามมึงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร' ชาติชายคิดในใจขณะที่ฟังอีกฝ่ายเล่าต่อ
"ตอนนั้นกูยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรซักอย่าง คุณหญิงเค้าไม่ยอมรับกูกับลูกมิหนำซ้ำยังโกรธจนไม่ยอมให้ลูกสาวของตัวเองเข้าบ้านอีก กูกับเมียกัดก้อนเกลือกินกันมาจนไอ้ตรีอายุเกือบห้าขวบ สุดท้ายเมียกูเค้าก็ทนไม่ไหวทั้งในเรื่องความขี้เงี่ยนมีอารมณ์บ่อยของกูและความลำบากที่ต้องช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงตัวเองเพราะเมียกูเค้าไม่เคยลำบากมากก่อนก็เลยเลือกกลับไปขอขมาคุณหญิง เวลาผ่านมาหลายปีความโกรธของคนเป็นแม่ก็เริ่มจางลงจนคุณหญิงยอมรับเพียงลูกสาวกลับเข้าบ้านอีกครั้งแต่คุณหญิงก็ยังไม่ยอมรับกูกับลูกอยู่ดีเพราะหาว่ากูไปทำให้วงศ์ตระกูลอันสูงส่งต้องแปดเปื้อน สุดท้ายคุณหญิงก็เลยเอาลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำยกให้เสี่ยคนนึงไปด้วยความเต็มใจของเมียกูเอง” ยอดชายเล่าด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาหม่นทอดยาวออกไปเบื้องหน้าราวกับชายหนุ่มไร้ความรู้สึก ทว่าลูกผู้ชายด้วยกันมีหรือจะปิดบังความรู้สึกกันได้ง่ายดายเพียงนั้น ชาติชายสัมผัสรับรู้ได้ถึงความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในดวงตาหล่อเข้มเย็นชาตรงหน้าหากแต่พอนานวันเข้าจากความเจ็บปวดจึงกลายเป็นความชาชินปิดกั้นความรู้สึกทั้งปวงไว้ภายในราวกับกำแพงเหล็ก
“มึงก็เลยเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงไอ้ตรีคนเดียวมาจนถึงตอนนี้?” ชาติชายสรุป
ความเงียบงันของบรรยากาศรอบตัวเข้าห่อหุ้มชายหนุ่มทั้งสองเอาไว้ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งคู่รับฟังเรื่องราวของกันและกันในใจนึกชมความเข้มแข็งของอีกฝ่าย อีกประการคือความเห็นใจซึ่งกันและกันหากแต่ไม่ได้แสดงออกใดๆให้อีกฝ่ายรับรู้แม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแสงอัศดงเรื่อเรืองด้านทิศประจิมเริ่มจางหาย ชาติชายจึงพูดขึ้นว่า...
“กลับห้องพักกันดีกว่าว่ะ” ชาติชายขยับลุกขึ้น แต่สองขาล่ำกล้ามที่ใช้แรงอย่างหนักมากว่าสี่ชั่วโมงเต็มจนอ่อนล้าคล้ายถูกถ่วงด้วยพะเนินเหล็กไม่ฟังคำสั่ง ขณะที่ลุกขึ้นยืนชาติชายเกือบเซล้มลง ดีที่ยอดชายช่วยพยุงไว้ทัน ซึ่งยอดชายเองก็มีสภาพไม่ต่างจากอีกฝ่าย ทั้งคู่จึงต้องช่วยพยุงกันและกันด้วยการกอดคอกันเดินลงจากเขาในสภาพทุลักทุเลยิ่ง ระหว่างทางที่กอดคอกันลงจากเขาทั้งคู่ต่างสูดได้กลิ่นตัวอับเหงื่อของกันและกัน...กลิ่นเหงื่อที่ผสมกันอย่างลงตัวจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครรู้เพียงแต่กลิ่นอับแบบนี้สามารถทำให้เลือดอุ่นๆในกายของลูกผู้ชายด้วยกันฉีดพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจได้อย่างประหลาดล้ำหากแต่ทั้งคู่จะยิ่งต้องประหลาดใจกับภาพในอดีตชาติของพวกเขาที่กำลังจะเกิดขึ้นให้เห็นอีกครั้งในค่ำคืนนี้...To be continued.