จันทราเต็มดวงลอยเด่นบนนภาดุจแก้วมณีแห่งรัตติกาลส่องสว่างมลังเมลืองลงมายังเทวาลัยบนเนินเขา พลันปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนกำลังก้าวเดินอย่างองอาจมั่นคงฝ่าความมืดขึ้นมาตามบันไดหินที่สองฝากข้างมีรูปปั้นพญานาคราชแผ่พังพานทอดตัวจากด้านล่างขึ้นสู่เบื้องบน เมื่อกลุ่มคนเดินขึ้นมาจนถึงชานพักต่างระดับโล่งกว้างซึ่งเหลือบันไดอีกเพียงเก้าขั้นก็จะถึงปากประตูทางเข้าเทวาลัย...คนทั้งหมดต่างชะงักเท้า แสงจันทร์สาดส่องจึงค่อยเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มคนที่ก้าวเดินขึ้นมามีทั้งสิ้นหกคนโดยยืนเป็นคู่ๆเรียงแถวตอนสองแถวๆละสามคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศร่างกายกำยำแข็งแรง ท่อนบนเปลือยโชว์กล้ามเนื้อหนั่นแน่นแข็งแกร่งโดยเฉพาะบุรุษสองคนผู้เดินนำหน้าขบวนนั้นมีกล้ามเนื้อใหญ่หนาล่ำสันบึกบึนกว่าชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ หากเมื่อชาติชายเพ่งมองเค้าใบหน้าของคนทั้งหกจำต้องถึงกับงงงันวูบเพราะถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งสองคนผู้เดินนำขบวนจะมีสีดอกเลาแซมอยู่ทั่วอันบ่งบอกว่าน่าจะอยู่ในวัยล่วงห้าสิบปีไปแล้วทว่าบุคลิกลักษณะรวมทั้งรูปลักษณ์ใบหน้า ปากคอคิ้วคางทุกประการล้วนเหมือนกับตนเองและยอดชายราวกับฝาแฝดและยิ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางของแต่ละแถวนั้นก็มีใบหน้าบุคลิกลักษณะเหมือนกับชาตรีและชัดชายบุตรของตนอย่างมิผิดเพี้ยนเพียงแต่ดูราวกับว่าในยามนี้ชาตรีและชัดชายเติบโตขึ้นจนอยู่ในวัยสามสิบเศษแล้ว สำหรับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยืนรั้งท้ายขบวนของแต่ละแถวนั้นแม้เค้าใบหน้าจะละม้ายคล้ายกับชาติชายและยอดชายรวมกันอยู่หลายส่วนแต่กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน มิทราบว่าเป็นผู้ใด? แต่คาดว่าน่าจะอายุราวสิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้นหากเพียงลักษณะท่าทางแววตาของเด็กหนุ่มทั้งสองกลับดูองอาจกล้าหาญเกินวัยและสิ่งที่สะดุดตาอีกประการคือคนทั้งหกมีเพียงหนังสัตว์ที่ตัดเป็นรูปทรงคล้ายรูปสามเหลี่ยมสั้นๆเพียงชิ้นเดียวคาดพันอยู่รอบเอวแกร่งเพื่อใช้ปิดบังอวัยวะเพศชายของตนไว้เท่านั้นดูไปคล้ายกับพวกทาร์ซานที่อาศัยอยู่ในป่าลึก...
ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนชาตรีกับชัดชายเดินปลีกตัวตรงไปยังกลองหนังสัตว์ที่วางตั้งสูงระดับอกอยู่ตรงชานพักในขณะที่บุรุษสองคนที่เดินนำขบวนต่างก้าวเดินอย่างผึ่งผายสง่างามตรงขึ้นไปยังทางเข้าเทวาลัยด้านบนโดยมีเด็กหนุ่มอีกสองคนเดินเว้นระยะห่างอยู่ข้างหลัง สองมือใหญ่หยาบแข็งแรงของผู้เดินนำหน้าทั้งสองคนผลักเปิดประตูทั้งสองบานผางออกพร้อมกับก้าวเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะดึงบานประตูกลับมาปิดไว้ตามเดิมและยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าซ้ายขวาของทางเข้าเทวาลัย
เมื่อเท้าใหญ่หนาเปลือยเปล่าของสองบุรุษล่วงล้ำเข้าสู่จุดลึกสุดของเทวาลัยอันเรียกว่า “ห้องพิธี” ซึ่งเป็นห้องปิดที่กว้างประมาณห้าเมตรที่เบื้องบนหลังคาห้องด้านในสุดติดกับผนังกำแพงถูกเจาะให้มีช่องเล็กๆสำหรับให้แสงจันทราส่องลอดเข้ามากระทบกับผิวน้ำในบ่อน้ำช่วยให้เกิดแสงสะท้อนสว่างภายในห้องมากขึ้น บุรุษทั้งสองเดินตรงไปยังเสาศิลาสูงเมตรเศษซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาหน้าบ่อน้ำ ส่วนบนของเสาศิลามีลักษณะบานออกคล้ายปากชามใบใหญ่ภายในบรรจุเชื้อเพลิงหลายชนิดพร้อมกับใช้หินลักษณะแปลกตาที่วางอยู่ข้างๆเสาศิลานั้นจุดไฟให้สว่างวาบขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะถอยกายกำยำกลับมายืนคู่กันอยู่ด้านหน้าบ่อน้ำ
เมื่อไฟจากเสาศิลาทั้งสองต้นถูกจุดขึ้น...เบื้องหน้าของบุรุษทั้งคู่ตรงกำแพงฉากหลังของบ่อน้ำถูกแกะสลักเป็นรูปเคารพสัดส่วนเทียบเท่ามนุษย์จริง...เทวรูปสี่กรเปลือยพระวรกายท่อนบนเผยให้เห็นความกำยำบึกบึนเฉกเช่นมหาบุรุษอยู่ในปางประทับนั่งขัดสมาธิบัลลังก์บนหลังพญาคชสารสองเศียรมองดูน่าเคารพเกรงขามยิ่ง
พระหัตถ์ของเทวรูปต่างกุมศาสตรากระชับมั่นคง...พระหัตถ์ขวาบนถือคันศรกับลูกศร พระหัตถ์ซ้ายบนถือบ่วงบาศสีแดงสดปานชโลมด้วยโลหิต พระหัตถ์ขวาล่างทรงถือขอช้าง(ขอกามคุณ) ส่วนพระหัตถ์ซ้ายล่างแบหงายอยู่ในปางประทานพร
แสงไฟที่กระทบกับผิวน้ำวูบวาบอยู่ภายในห้องทำให้ดูราวกับว่าพระกรทั้งสี่ข้างของเทวรูปสะบัดพลิ้วไหวไปตามพื้นผนังห้องราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ! คันศรกับลูกศรเป็นอาวุธของพระกามเทพแทนความรัก บ่วงบาศสีแดงหมายถึงความผูกพันที่คล้องใจคนทั้งสองไว้ด้วยกัน ขอกามคุณหมายถึงความกำหนัดในกามระหว่างคู่รัก หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสามสิ่งนี้ชีวิตคู่ย่อมพังทลาย ส่วนคชสารหรือช้างเป็นสัญลักษณ์แทนพละกำลังของบุรุษเพศ...ยามใดก็ตามหากกายและใจของบุรุษสองคนสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เท่ากับเป็นการผนึกกำลังอันแข็งแกร่งมั่นคงสองสายเข้าด้วยกันย่อมก่อเกิดพลานุภาพเพิ่มพูนเปี่ยมล้นอุปมาเหมือนดั่งคชสารสองเศียรนี้ ความหมายโดยรวมของเทวรูปแกะสลักเบื้องหน้าจึงหมายถึงการจะหลอมรวมกายและใจของบุรุษเพศสองคนเข้าด้วยกันได้ย่อมต้องกอปรขึ้นจาก ความรัก ความผูกพันและความกำหนัดในกามระหว่างกันเป็นเครื่องผูกคล้องชายสองคนไว้ด้วยกันโดยมีพระกามเทพเป็นผู้ลิขิตควบคุมสูงสุด...บุรุษที่มีใบหน้าเหมือนกับชาติชายและยอดชาย ทั้งคู่คุกเข่าลงเบื้องหน้าเทวรูปพร้อมกับหมอบกราบลงอย่างช้าๆด้วยความเคารพยำเกรง
“โอม! กามาเทวะ...นมัส” มนต์บูชามหากามเทพ...เทวะราชันแห่งชายรักชายกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงกลองจากด้านนอกดังรัวเป็นจังหวะอันเร้าใจบ่งบอกว่า 'พิธีกรรมพลีกามบูชาเทพ' กำลังจะเริ่มขึ้นภายใต้บรรยากาศในห้องพิธีที่อวลอบไปด้วยกลิ่นคาวแห่งกามโลกีย์วิสัยระหว่างบุรุษกับบุรุษคละคลุ้งสะกิดชวนให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้อย่างง่ายดาย
หลังจากบุรุษทั้งสองคนหมอบกราบรูปเคารพขององค์กามเทพครบสามครั้งจึงค่อยหันหน้าเข้าหากันในลักษณะคุกเข่าอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ต่างฝ่ายต่างปลดหนังสัตว์ที่ผูกติดที่เอวของตนออกเผยให้เห็นเครื่องเพศแห่งความเป็นชายครบสมบูรณ์ทั้งลำลึงค์แข็งหนาใหญ่ยาวที่ชี้โด่เข้าหากัน ถุงไข่ใบเขื่องห้อยยานอยู่ใต้ลำลึงค์ราวกับจะท้าทายข่มขวัญอีกฝ่ายและถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งคู่จะเริ่มมีสีดอกเลาแซมให้เห็นอยู่ทั่วศีรษะแต่ดงหมอยกับขนรักแร้กลับยังคงมีสีดำขลับและดกยาวไม่ต่างจากเมื่อครั้งสมัยยังเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แม้แต่น้อย
ชาติชายมองภาพเหตุการณ์ด้วยความตะลึงงันในขณะที่บุรุษคู่ตรงหน้าต่างกำลังเบ่งกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นไร้ไขมันอวดโชว์กันในระยะประชิดเพื่อเร่งความกำหนัดเร้าใจของอีกฝ่ายให้พุ่งทะยานถึงขีดสุด แววตาหื่นกามของบุรุษทั้งคู่ต่างสำรวจซอกซอนไปทุกอณูเนื้อแกร่งสง่างามของกันและกัน ในบางจังหวะที่แววตาของบุรุษทั้งสองสบกันบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความต้องการทางเพศอย่างเปี่ยมล้นจนลำลึงค์ที่แข็งโด่มีเส้นเลือดแผ่พันปูดโปนอยู่โดยรอบตอบสนองอารมณ์เงี่ยนด้วยการกระดกหัวที่ถอกบานหงึกๆๆๆอย่างสุดระงับก่อนที่บุรุษเพศทั้งสองจะใช้มือหยาบกร้านสัมผัสลูบไล้เล้าโลมไปตามเรือนร่างแกร่งกล้ามเปลือยเปล่าของกันและกัน จากนั้นจึงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหากันช้าๆจนสูดดมได้กลิ่นเหงื่อแห่งความเป็นชายและลมหายใจอันร้อนผ่าวป่าเถื่อนของกันและกันก่อนจะประกบริมฝีปากหยาบหนาบดจูบแลกลิ้นกันอย่างดิบเถื่อนเผ็ดร้อน ร่างแกร่งกล้ามสองร่างกอดรัดประกบเข้าหากันราวกับจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวโดยมีเทวรูปเป็นฉากหลัง...ในระหว่างที่ชาติชายกำลังตกตะลึงอยู่ในภวังค์กับภาพตรงหน้าพลันบังเกิดสุ้มเสียงอหังการกังวานแว่วดังดุจระฆังทองซ้อนขึ้นมาในจิต
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” พร้อมกับภาพตรงหน้าเมื่อครู่ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆจนในที่สุดกลายเป็นความมืดมิด...
สุ้มเสียงลี้ลับปริศนาที่ดังแว่วมานี้เต็มไปด้วยอานุภาพอำนาจบารมีอย่างที่ชาติชายไม่เคยได้ยินและรู้สึกเช่นนี้มาก่อนในชีวิตราวกับไม่ใช่เสียงของบุรุษทั่วไปที่เป็นมนุษย์ แม้ในใจของชายหนุ่มจะเกิดความยำเกรงต่อเสียงที่ได้ยินแต่ยังคงย้อนถามด้วยความเคยชินตามสันดานหยาบของผู้ชายออกไปว่า
“ใครวะ?” หากแต่เสียงที่ตอบกลับมาคล้ายสะท้อนก้องอยู่ในหัวสมอง...
“ข้าคือกามเทวามหาบุรุษ บุตราแห่งมหาเทพผู้กำหนดความเป็นไปแห่งรักของสรรพสัตว์ทั้งปวง”
“ต้องการอะไร?” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะจากประโยคเมื่อครู่ที่บอกว่าเขากับช่อทิพย์ไม่ใช่เนื้อคู่กัน
“เจ้าทั้งสองคือขุนพลผู้เป็นอณูแห่งข้าและมีหน้าที่ๆจะต้องกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคือ...ชะตากรรม!”
“อณู...หน้าที่...ชะตากรรมอะไร?” ชาติชายย้อนถามไม่ลดละ
เสียงพระสรวลกังวานก่อนจะตรัสว่า...
“ดวงดาวที่แตกดับ
ผันคืนกลับดังอดีต
ด้วยข้าลิขิตขีด
สองขุนศึกรับบัญชา
หน้าที่ของพวกเจ้า
คือร่วมเพศเสพกามา
เพิ่มพูนฤทธิ์แห่งข้า
แนบประสานความเป็นชาย!”
การเกิดใหม่เปลี่ยนภพชาติทำให้ชาติชายไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้หากแต่ท้ายสุดคล้ายได้ยินประโยคของตนเองในอดีตชาติลอยล่องมาแต่ไกลอย่างแผ่วเบาแต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นชัดเจนยิ่ง...
“กระหม่อมขอน้อมรับพระบัญชา...”
เฮือก!...ชาติชายสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่ง...’ฝันเหรอ ทำไมมันเหมือนจริงจังวะ?’ ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากผุดพรายขณะที่สายตากวาดมองรอบห้อง ชัดชายกับชาตรียังคงนอนหลับอยู่ข้างเตียงหากแต่เตียงของยอดชายกลับว่างเปล่า
ยามนี้ท้องฟ้าใกล้สว่างสางชาติชายจึงขยับลุกไปเข้าห้องน้ำล้างตัว กล้ามเนื้อที่ฟกช้ำบาดเจ็บจากการชกต่อยกับยอดชายเมื่อวานซืนและการใช้งานอย่างหนักเมื่อวานในการแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบเริ่มส่งผลปรากฏชัดโดยการปวดระบมมากกว่าเมื่อวานหลายเท่าราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆหากแต่ชายชาติพยัคฆ์ไหนเลยจะแสดงอาการโอดครวญอ่อนแอออกมาให้โลกเยาะหยันเยี่ยงอิสตรีได้ ยอดชายเองก็เช่นกัน...หลังจากตื่นนอนเขาก็รู้สึกปวดแปลบไปทั่วตัวหากแต่ว่ายังคงฝืนหยัดกายลุกออกจากห้องไปเพราะมีบางอย่างต้องการพิสูจน์และเมื่อชาติชายล้างตัวใส่เสื้อผ้าเดินออกจากห้องมาก็เห็นยอดชายรวมทั้งไอ้แดงกับไอ้ดำพากันเดินลงจากเขามา
“พวกมึงขึ้นไปทำอะไรกันมาวะ?” ชาติชายถามด้วยความแปลกใจเพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานแต่ยอดชายที่เดินนำหน้าไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนจะเดินเข้าห้องพักไปยิ่งสะกิดความสงสัยของคนถามให้อยากรู้มากกว่าเดิมจึงหันไปถามลูกน้องคนสนิทของตนแทน...
“ไอ้แดง...ว่าไงมึง?”
“เมื่อเช้าผมเห็นลูกพี่...เอ่อ” ไอ้แดงไม่แน่ใจว่าชาติชายยอมให้ตนเรียกหายอดชายเป็นลูกพี่ได้หรือยัง? ดังนั้นพอพูดถึงคำว่าลูกพี่คำพูดจึงสะดุดลงแต่เหมือนชาติชายจะอ่านใจลูกน้องออกจึงพูดว่า
“กูกับไอ้ยอดปรับความเข้าใจกันแล้ว มึงเล่าต่อไป”
ไอ้แดงกับไอ้ดำมองหน้ากันก่อนที่ไอ้แดงจะเป็นคนเล่าต่อไปว่า
“เมื่อเช้าพวกผมตื่นมาเห็นลูกพี่เค้าออกมาจากห้องท่าทางรีบร้อนเดินขึ้นเขาไปคนเดียว ผมกับพี่ดำแปลกใจเลยตามขึ้นไปดู พอไปถึงก็เห็นลูกพี่กำลังจะเดินเข้าไปในดงไม้ที่มันไม่มีทางเดินแต่พวกผมเรียกไว้ก่อน พอถามว่าเกิดอะไรขึ้นลูกพี่เค้าก็บอกว่าไม่มีอะไรและก็พากันเดินลงเขามานี่แหละครับ” คนเล่าเหตุการณ์แสดงสีหน้าแปลกใจคล้ายกับจะถามความเห็นของคนฟัง
ชาติชายพอฟังเรื่องราวก็ยังขบคิดไม่เข้าใจได้แต่บอกว่า “เดี๋ยวเรื่องนี้กูจะถามไอ้ยอดมันเอง พวกมึงไปเตรียมตัวทำงานเถอะนี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
ยอดชายเดินเข้าห้องพักเพื่อไปปลุกชาตรีลูกชายของตนรวมทั้งชัดชายให้ลุกไปอาบน้ำล้างตัวแล้วจึงขับรถพาเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปส่งที่ขนส่งก่อนจะกลับมาทำงานต่อจนกระทั่งห้าโมงเย็นจึงนั่งรถไปกับชาติชายเพื่อไปเคลียร์ปัญหาหัวใจกับช่อทิพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวานแต่ระหว่างทางที่ชาติชายทำหน้าที่เป็นสารถีเขาก็คิดถึงความฝันเมื่อตอนก่อนรุ่งสางที่ว่า
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” แม้จะเป็นคำพูดในความฝันที่ดูช่างเลื่อนลอยไร้สาระหากแต่กลับสามารถสั่นคลอนความรู้สึกของชาติชายได้อย่างน่าประหลาดเพราะคำพูดจากบุรุษปริศนาในฝันนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นคำพูดประกาศิตที่ไม่อาจไม่เชื่อได้...
“โอม! กามาเทวะ...นมัส” ชาติชายเอ่ยมนต์บูชาพระกามเทพที่ได้ยินในความฝันขึ้นมาเบาๆคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจหากแต่เพราะอยู่ในรถจึงทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย...ยอดชายที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปมองก่อนจะถามด้วยท่าทางประหลาดใจขึ้นว่า
“มึงไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน?”
ด้วยเพราะชาติชายกำลังใช้ความคิดประกอบกับใช้สมาธิในการขับรถไปด้วยคำพูดที่ออกจากปากมาเบาๆเมื่อครู่เขาจึงไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยจึงถามกลับไปว่า
“คำพูดอะไรวะ?”
“โอม กามาเทวะ...นมัส มึงไปเอามาจากไหน?” ยอดชายถามซ้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูฝัน...มีไรวะ?” ชาติชายตอบไปตามความจริงโดยที่สายตายังคงมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
“มึงอย่าบอกนะว่ามึงฝันเห็นเทวรูปสี่กรด้วย!?”
เอี๊ยดดด!...ชาติชายเบรครถกระทันหัน โชคดีที่เป็นถนนในหมู่บ้านชนบทที่นานๆทีจึงจะมีรถขับผ่านมาซักคัน
“มึงรู้ได้ยังไง?” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย คำถามเต็มไปด้วยความสงสัยเปี่ยมล้นเพราะชายหนุ่มแน่ใจว่าตั้งแต่ที่เขาฝันเมื่อตอนเช้ามืดมาจนกระทั่งวินาทีนี้ยังไม่เคยเล่าความฝันนั้นให้ใครได้ฟังเลยแม้แต่คนเดียว!...To be continued.