“ไอ้ตรี...มึงหลับยังวะ?”
ชาตรีพลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางต้นเสียงที่อยู่ข้างๆ
“เกือบหลับแล้วว่ะ มึงมีอะไรวะ?” เสียงกระซิบตอบของชาตรีแผ่วเบาไม่ต่างจากอีกฝ่าย
“มึงว่าพ่อมึงกับพ่อกูจะคืนดีกันได้มั๊ยวะ?”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ
แต่พ่อมึงช่วยชีวิตกูไว้ ยังไงกูก็ต้องทำให้พ่อมึงกับพ่อกูเป็นเพื่อนกันให้ได้
เหมือนมึงกับกูที่เป็นเพื่อนกัน” ชาตรีตอบด้วยความรู้สึกภายในใจ
“พ่อมึงก็ช่วยชีวิตกูไว้เหมือนกัน
งั๊นงานนี้มึงกับกูต้องช่วยกันประสานรอยร้าวให้พ่อพวกเราคืนดีกันให้ได้แล้วว่ะ”
เด็กหนุ่มทั้งคู่ชนหมัดกันเบาๆในความมืดคล้ายเป็นสัญลักษณ์ระหว่างลูกผู้ชายว่าจะร่วมมือกันทำภารกิจประสานรอยร้าวระหว่างพ่อของพวกตนให้ได้ไม่ว่าจะยากเพียงใดก็ตาม
ถึงแม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ภายใต้บรรยากาศรอบห้องที่เงียบสงัดกลับทำให้ทั้งชาติชายและยอดชายที่นอนควยแข็งโด่ในความมืดล้วนได้ยินคำสนทนากันระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างถนัดชัดเจนเพียงแต่ยังคงแสร้งนอนเฉยอยู่บนเตียงทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด
ตลอดเวลาเกือบสองเดือนมานี้ยอดชายกับชาติชายต้องนอนควยแข็งกันทุกคืนเพราะสาเหตุเดิมๆที่ต้องเจออยู่ทุกวันนั่นคือกลิ่นตัวของเขาทั้งคู่ที่ผสมกันภายในห้องจนเกิดเป็นยาปลุกเซ็กส์ตามธรรมชาติและก็เพราะความรู้สึกทรมานเช่นนี้จึงทำให้ภายในจิตสำนึกของชาติชายสร้างอคติขึ้นมาต่อต้านจนมีเรื่องกับยอดชายอยู่บ่อยๆ
หากแต่ว่าวันนี้อคติภายในใจที่คล้ายเป็นกำแพงกั้นความรู้สึกชอบอีกฝ่ายกลับถูกทำลายลงจากเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าผ่านปากบุตรชายของตนเองเหลือไว้เพียงความกังวลกับคำถามที่ยังรอคอยคำตอบ...’ชายรักชายมันจะเป็นไปได้ยังไงวะ?’
คำถามซ้ำซากที่เกิดขึ้นในใจของยอดชายและชาติชายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาเพราะคนในสังคมสมัยนั้นยังมองว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันคือสิ่งผิดปกติผิดธรรมชาติซึ่งชายหนุ่มทั้งคู่ต่างก็เชื่อเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่มาตลอด
หากแต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เชื่อมาตลอดทั้งชีวิตย่อมต้องสร้างความรู้สึกสับสนเป็นกังวลให้กับเขาทั้งคู่เป็นธรรมดาและยิ่งยากจะให้ทำใจยอมรับได้ในระยะเวลาอันสั้น
ใครบ้างจะเข้าใจและล่วงรู้ว่าสาเหตุที่ชายหนุ่มทั้งคู่มีปัญหากันก็เพราะปมนี้เป็นเหตุ
ความคิดว่ายวนในห้วงสมองของทั้งคู่จนในที่สุดจากความเหนื่อยล้าที่ใช้แรงมาตลอดทั้งวันสติจึงเริ่มเลือนลางค่อยๆคืบคลานสู่ห้วงนิทราในที่สุด
ชาติชายตื่นนอนก่อนคนทั้งสาม ชายหนุ่มนั่งทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานความจริงเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลเพียงแต่ด้วยความเลือดร้อนจึงทำให้ขาดสติพอได้นั่งคิดทบทวนก็เห็นว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องจะอย่างไรเมื่อทำผิดไปแล้วก็ต้องแก้ไขและรับผิดชอบ
ลูกผู้ชายย่อมกล้าทำกล้ารับส่วนเรื่องจะตัดสินแพ้ชนะกับยอดชายยังไงต้องเกิดขึ้นแน่เพียงแต่ตอนนี้ยังคิดหาวิธีที่เหมาะสมไม่ได้ชายหนุ่มจึงลุกจากเตียงไปล้างตัวใส่เสื้อเปลี่ยนกางเกงให้กลิ่นอับเหงื่อของตนเองจางลงเพื่อเตรียมประชุมงานเช้านี้
รถยนต์หรูขับมาจอดในลานกว้างหน้าที่พักคนงาน
เสี่ยป้อ...ชายร่างท้วมพุงพลุ้ยผิวขาววัยห้าสิบปลายๆที่นั่งอยู่เบาะหลังก้าวลงจากรถโดยมีคนขับลงมาทำหน้าที่เปิดประตูให้ซึ่งก็เป็นเวลาเก้าโมงเช้าพอดี
คนงานทุกคนรวมทั้งชาติชายกับยอดชายออกมาต้อนรับผู้เป็นนายกันพร้อมหน้า
ที่ประชุมก็คือห้องสำหรับต้อนรับแขกที่จะเข้ามาใช้บริการเมื่อโครงการบ้านพักตากอากาศสร้างเสร็จ
เสี่ยป้อนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะโดยมียอดชายกับชาติชายนั่งอยู่ด้านซ้ายและขวาตามด้วยไอ้แดงและไอ้ดำที่นั่งถัดจากลูกพี่ของพวกมัน
เสี่ยป้อมองดูหน้าตาลูกน้องของตนพร้อมกับขมวดคิ้วซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีขนคิ้วเหลือซักเท่าไหร่แถมยังเป็นสีขาวเกือบหมดพร้อมกับถามขึ้นว่า
“ทำไมหน้าตาลื้อสองคนถึงฟกช้ำแดงเป็นจ้ำๆกันแบบนี้วะ คนนึงปากแตก อีกคนก็คิ้วแตก
พวกลื้อไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ?” ซึ่งเสี่ยป้อก็พอจะเดาคำตอบได้ว่า...
”หรือพวกมึงฟัดกันเอง?”
ไอ้ดำกับไอ้แดงก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเสี่ยเพราะกลัวโดนเค้นถาม
ทางด้านยอดชายกับชาติชายซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดีก็มองหน้ากันไม่พูดอะไรซึ่งก็ถือเป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง
“ไอ้หยา!
พวกลื้อเป็นหัวหน้างานทั้งคู่แต่มาฟัดกันเองแบบนี้ไม่เสียการปกครองลูกน้องหมดเหรอวะ
อีกหน่อยถ้าพวกลูกน้องมันมีเรื่องกันพวกลื้อจะห้ามยังไง?
ลูกพี่แม่งยังฟัดกันเองแบบนี้”
“ขอโทษครับเสี่ย”
ผู้ถูกตำหนิต่างค้อมศีรษะกล่าวคำขอโทษผู้เป็นนายอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเงยหน้ามาสบตากัน
“ต่อไปผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
ชาติชายให้คำมั่นขณะที่คลองจักษุยังประสานกันกับคู่กรณี
พลันก็มีลูกน้องคนงานเดินเข้ามาในที่ประชุมบอกเสี่ยป้อว่ารถที่จะใช้ยกเสาไม้สักทองยี่สิบเอ็ดต้นขึ้นไปบนเขาพรุ่งนี้เพื่อใช้ทำโครงบ้านพักเกิดขัดข้องกระทันหัน
“อะไรกันวะ?”
เสี่ยป้อรู้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะรถยกที่ใช้งานมาหลายสิบปีตั้งแต่ชาติชายยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับตนถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนคันใหม่เพราะซ่อมมาหลายครั้งมากแล้ว
จู่ๆยอดชายที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับเสี่ย
ผมกับไอ้ชาติจะเป็นคนยกเสาไม้สักทั้งยี่สิบเอ็ดต้นขึ้นไปบนเขาเอง!” คำพูดนี้ทำเอาไอ้ดำกับไอ้แดงรวมทั้งคนงานที่เข้ามารายงานว่ารถยกเสียถึงกับสะดุ้งวาบมองหน้ากันด้วยความตกใจเพราะไม้สักทองที่จะใช้ทำโครงบ้านแต่ละต้นล้วนมีน้ำหนักเกือบสามร้อยกิโลแถมยังมีไม้สักต้นที่ใหญ่ที่สุดอีกหนึ่งต้นซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าห้าร้อยกิโล! เสี่ยป้อก็ถึงกับตาโตในคำกล่าวของยอดชายมีเพียงชาติชายเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบไม่สะทกสะท้านเพราะเข้าใจจิตเจตนาของยอดชายซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” เสี่ยป้อหันไปถามความเห็นของชาติชาย
“ดีเหมือนกันครับเสี่ย รอช่างกว่าจะมาก็ไม่รู้อีกกี่วัน
อีกอย่างถือเป็นการลงโทษไม่ให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับลูกน้องที่หัวหน้างานก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเอง
พวกผมยินดีทำงานนี้เอง” พูดจบสายตาของชาติชายก็หันไปสบตากับยอดชาย
ความคิดของลูกผู้ชายด้วยกันย่อมสื่อถึงกันได้ผ่านทางแววตา ชาติชายใช้คำว่า’พวกผม’แทนตัวเองกับยอดชายนั่นเป็นเพราะภายในส่วนลึกของจิตใจอันแข็งแกร่งเริ่มมีเศษเสี้ยวนึงยอมรับนับถือความเป็นลูกผู้ชายในตัวของอีกฝ่ายแล้ว
หลังจากประชุมวางแผนงานกันเสร็จก็ราวเกือบบ่ายโมง
เสี่ยป้อจึงออกไปเดินตรวจงานซึ่งงานที่เชิงเขาถือว่าเสร็จสมบูรณ์แบบเหลือแต่งานก่อสร้างบนเขาที่ยอดชายปรับถมหน้าดินเสร็จเรียบร้อยแล้วรอลงเสาทำโครงสร้างต่อไป
กว่าเสี่ยป้อจะกลับออกจากแคมป์คนงานก็เกือบสี่โมงเย็นซึ่งยอดชายและชาติชายรวมทั้งไอ้แดงกับไอ้ดำต่างเดินมาส่งผู้เป็นนายกลับขึ้นรถ
ชาติชายมองรถหรูของผู้เป็นนายวิ่งฝุ่นตลบผ่านทางโค้งหายลับตาไปก่อนจะหันมาถามยอดชายอย่างจริงจังว่า
“ที่มึงเสนอเรื่องแบกเสาไม้สักทองขึ้นเขาก็เพื่อจะใช้เป็นหัวข้อการตัดสินระหว่างมึงกับกูใช่มั๊ย?”
“พรุ่งนี้นับแต่เที่ยงวัน...ใครแบกเสาไม้สักขึ้นไปวางบนเขาได้มากกว่ากันก่อนตะวันลับขอบฟ้า...”
“ถือเป็นผู้ชนะ!” ประโยคนี้กล่าวออกมาจากปากของชาติชายและยอดชายเกือบจะพร้อมกัน
“คนแพ้ต้องหลีกทางให้คนชนะ ห้ามไปข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับทิพย์อีกตลอดไป” ชาติชายพูดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาตรงหน้าคล้ายกับท่างัดข้อกลางอากาศ
ยอดชายก็ยกมือขวาของตนขึ้นประกบกับมือของชาติชาย ถือเป็นการจับมือทำสัญญาข้อตกลงกันระหว่างลูกผู้ชายสองคนที่มีไอ้ดำกับไอ้แดงและเหล่าบรรดาลูกน้องคนงานเป็นสักขีพยาน
ชัดชายกับชาตรีที่พรุ่งนี้ไม่มีชั่วโมงเรียนจึงยังจะอยู่ดูพ่อของตนโชว์พลังความเป็นชายออกมาประลองกันก่อนที่จะกลับพระนครโดยถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สมานรอยร้าวให้กับพ่อของพวกเขา
ซึ่งหลังจากกินข้าวมื้อเย็นกันเสร็จไม่นานยอดชายและชาติชายต่างนอนพักเอาแรงกันแต่หัวค่ำจนถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้นจึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อศึกแห่งศักดิ์ศรีที่กำลังจะปะทุขึ้นในตอนเที่ยง
ทั้งยอดชายและชาติชายต่างเริ่มตุนพลังงานลงกระเพาะของตนเป็นระยะๆไม่ว่าจะเป็น ข้าว
ถั่ว นม ไข่และเนื้อสัตว์เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยและเริ่มสะสมพลังงานไว้ตามเซลล์มัดกล้ามส่วนต่างๆของร่างกายอย่างเต็มที่ดุจลูกระเบิดที่อัดแน่นทั่วสรรพางค์พร้อมที่จะระเบิดพลังงานออกมาได้ทุกเมื่อจนกระทั่งถึงเวลาสิบโมงข้าวคำสุดท้ายจึงลงกระเพาะไปและน้ำหยดสุดท้ายได้ล่วงผ่านลำคอของทั้งคู่ตอนสิบเอ็ดโมงตรงเพราะพวกเขาทั้งสองต่างรู้ดีว่าระหว่างการแข่งขันไม่มีเวลาให้พักดื่มน้ำหรือสะสมพลังงานอีกแล้ว
อีกทั้งการดื่มน้ำระหว่างการออกแรงยังจะทำให้เกิดอาการจุกได้ ซึ่งจะส่งผลต่อชัยชนะดังนั้นทุกอย่างจึงถูกคาดคำนวณไว้อย่างละเอียด
เมื่อสุรีย์ฉายแสงตรงศีรษะท่ามกลางบรรดาคนงานที่มาล้อมวงมุงดูการประลองกำลังกันของสองลูกพี่ตรงทางขึ้นเขาซึ่งมีไม้สักทองวางซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ตรงทางขึ้นพอดี
บรรดาคนงานต่างวิจารณ์พูดคุยกันต่างๆนาๆบ้างก็บอกว่าไม้สักหนักขนาดนี้จะยกไหวได้ยังไง?
บ้างก็แอบพนันขันต่อกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะโดยไม่ให้ชาติชายรู้
ทันใดนั้นร่างกำยำล่ำบึกผิวขาวของชาติชายก็เดินปรากฎออกจากมุมด้านหนึ่งของบ้านพักคนงานโดยมีร่างกำยำล่ำบึกผิวเข้มของยอดชายเดินปรากฎออกจากมุมอีกด้าน
ทั้งคู่ต่างถอดเสื้อมีเพียงกางเกงในเก่าๆสวมปิดบังอวัยวะเพศชายของตนเพียงตัวเดียวเท่านั้น
การอัดข้าวซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและเนื้อสัตว์ นม ถั่ว
ไข่ซึ่งให้โปรตีนไปเมื่อช่วงเช้าทำให้กล้ามเนื้อของทั้งคู่ดูอัดแน่นตึงฟูไปด้วยมัดกล้ามที่เต่งตึงสง่างามสมบูรณ์แบบราวกับว่ามัดกล้ามแกร่งตามตัวของทั้งสองคนกำลังจะปริแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆก็ไม่ปาน
มิหนำซ้ำขนรักแร้ที่ยาวรกดกฟูของทั้งคู่ยังแผ่รอดออกมาจากซอกวงแขนรวมทั้งขนหมอยที่ลามเป็นทางลงไปจากใต้สะดือเข้าไปในขอบกางเกงในแต่รอบๆขาหนีบกลับยังมองเห็นขนหมอยหยาบสากดกดำแผ่แพลมออกมาจากขอบกางเกงในที่โป่งนูนเพราะดงหมอยกับลำควยอยู่ไม่น้อยบ่งบอกถึงความรกชัฏของหมอยลูกผู้ชายของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
คนงานหลายคนถึงกับอ้าปากตกตะลึงในขนาดมัดกล้ามของสองมนุษย์พ่อพันธุ์ที่วันนี้อัดแน่นกันมาเต็มที่
แต่ก่อนที่ชาตรีจะเป็นคนให้สัญญาณเริ่มการแข่งขนย้ายไม้สักทองด้วยสองมือเปล่าเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นว่า...
“ผมกับไอ้ชัชปรึกษากันแล้ว
ไม่ว่าผลการแข่งขันวันนี้จะออกมาเป็นอย่างไรพวกเราอยากให้พ่อเป็นเพื่อนกันและเลิกทะเลาะกันตลอดไปเหมือนพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน
ถ้าพ่อไม่รับปากผมก็จะไม่ให้สัญญาณ...ได้มั๊ยครับพ่อ?”
ยอดชายมองหน้าลูกชายของตนสักครู่คล้ายใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยคำว่า...”เออ” สั้นๆเพียงคำเดียวท่ามกลางเสียงปรบมือของลูกน้องคนงาน
“แล้วพ่อล่ะครับ
ตกลงมั๊ย?” ชัชชายถามผู้เป็นพ่อของตนบ้าง
ชาติชายที่ตอนนี้เริ่มเปิดใจลดทิฐิและอคติที่มีต่อยอดชายลงมากแล้วแต่ก็ยังคงวางฟอร์มจึงตอบแบบเลี่ยงๆโดยย้อนถามว่า
“จะเริ่มได้ยัง?” ซึ่งผู้เป็นลูกย่อมเข้าใจความหมายว่าพ่อของตนตอบตกลงเงื่อนไขแล้วจึงพยักหน้าให้ชาตรีเพื่อนรักส่งสัญญาณเริ่มการแข่งขันได้!!
ทันทีที่ชาตรีฟันมือลงอันเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน
ทั้งยอดชายและชาติชายต่างพุ่งตัวไปยังกองไม้สักทองที่วางสุมกันตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างใช้มืออันหยาบหนาที่ผ่านการตรากตรำทำงานหนักมาทั้งชีวิตดึงท่อนไม้สักที่วางอยู่บนสุดคนละท่อนให้เลื่อนตะแคงลงมาที่พื้นเพื่อให้บ่าข้างนึงของตนพอจะสอดเข้าไปรับน้ำหนักของไม้สักได้จากนั้นทั้งคู่จึงขยับออกทางด้านข้างเพื่อให้ท่อนไม้เลื่อนออกมาจากกองไม้และพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง
กล้ามเนื้อใหญ่หนาเป็นมัดๆของทั้งคู่ที่ออกแรงต้านรับน้ำหนักท่อนไม้สักทองหลายร้อยกิโลกรัมแตกออกเป็นริ้วเป็นลายจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนพาดผ่านไปมาทั่วร่างทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
ลูกผู้ชายทั้งสองคนต่างแข่งกันแบกท่อนไม้สักมุ่งหน้าเดินขึ้นเขาด้วยความทรหดอดทนไม่มีใครยอมใครรอบแล้วรอบเล่าจนเหล่ากองเชียร์ที่เดินตามขึ้นเขาลงเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากันก่อน
บ้างก็หยุดนั่งดูระหว่างทาง บ้างก็รอดูอยู่เชิงเขา
บ้างก็เดินขึ้นไปรอบนเขาเพื่อดูว่าใครจะชนะโดยที่ไม่เดินตามชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นลงเขาอีกเหมือนช่วงแรกๆเพราะหมดแรง
ท่อนไม่สักทองถูกชายหนุ่มหุ่นล่ำทั้งสองคนแข่งกันขนย้ายขึ้นมากองรวมกันบนเขาได้ยี่สิบท่อนแล้วแต่ผลก็ยังเสมอกันอยู่คือขนกันได้คนละสิบท่อน
เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายไหลหลั่งอาบชโลมผิวกายหยาบกร้านของทั้งคู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันมะเมื่อมไปทั้งตัว
กางเกงในเก่าๆของชายหนุ่มทั้งสองคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากขนรักแร้กับเส้นหมอยอันหยาบสากดกดำล้วนส่งกลิ่นอับเหงื่อโชยชายอยู่รอบกายคนทั้งสอง
ยิ่งเดินแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบแผงอกแน่นกล้ามของชายหนุ่มทั้งคู่ยิ่งสะท้อนขึ้นลงถี่ขึ้น
บอกได้ถึงความเหนื่อยหอบที่มากขึ้นตามจำนวนรอบที่ออกแรง ความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องฟันฝ่าเอาชนะกันไม่เพียงแค่น้ำหนักหลายร้อยกิโลที่ต้องแบกรับไว้บนบ่าหากแต่เป็นทางลาดชันขึ้นเขาที่ยิ่งเร่งความเหนื่อยล้าให้มากขึ้นเป็นเท่าทวี
ยอดชายและชาติชายเดินลงเขาเพื่อไปยกเสาไม้สักทองต้นสุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้าจนเกือบจะหมดแรงแต่เขาทั้งสองต่างไม่มีใครแสดงความอ่อนแอใดๆออกมาตลอดการแข่งขัน
กลุ่มคนงานที่รอเชียร์อยู่เชิงเขาต่างพูดคุยกันเสียงดัง
“ท่อนสุดท้ายแล้วโว้ย”
“ใครจะยกไหววะเนี่ย ท่อนนี้แม่งใหญ่สุด”
เมื่อชาติชายและยอดชายเดินลงมาถึงจุดที่ไม้สักทองต้นสุดท้ายวางอยู่
ชาตรีซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินร่วมกับชัดชายจึงพูดว่า...
“ตอนนี้ผลการแข่งยังถือว่าเสมอกันอยู่ครับ
ไม้สักทองต้นสุดท้าย ใครยกขึ้นไปวางบนเขาได้ ถือว่าเป็นผู้ชนะ”
ยอดชายกับชาติชายมองหน้ากันก่อนที่ชาติชายจะชิงพูดขึ้นว่า
“กูขอลองก่อน” พูดจบชาติชายก็ใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ตอนนี้พยายามขยับยกเสาไม้สักต้นสุดท้ายแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็ทำได้เพียงขยับให้ท่อนไม้สูงจากพื้นได้ไม่กี่คืบเท่านั้น
สุดท้ายจึงต้องถอยให้อีกฝ่ายลองบ้าง ซึ่งเมื่อยอดชายลองใช้แรงที่เหลือของตนขยับยกเสาไม้ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างจากอีกฝ่ายคือไม่สามารถยกเสาไม้สักที่มีน้ำหนักเกือบห้าร้อยกิโลขึ้นมาพาดบ่าได้
ขณะที่ยอดชายกำลังพยายามออกแรงแต่ทว่าไม้สักก็ตะแคงสูงเหนือพื้นขึ้นมาได้ไม่กี่คืบนั้น
จู่ๆชาติชายที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็สอดมือทั้งสองข้างเข้ามาใต้ท่อนไม้ช่วยยอดชายยกอีกแรง...หากการต่อสู้กันเพียงหวังผลแพ้ชนะแต่ทำให้ไม่สามารถทำงานใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ยังจะมีประโยชน์อันใด?
ยังไงต้องขนเสาไม้สักท่อนสุดท้ายนี้ขึ้นไปบนเขาให้ได้ก่อนส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวภายหลัง
“ย๊ากกกก!!” ชายหนุ่มทั้งคู่ส่งเสียงออกแรงประสานกันอย่างสุดกำลัง
สุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังความแกร่งกร้าวกำยำของบุรุษเพศสองคนดังสะท้านกึกก้องทั่วหุบเขา
ไม้สักทองค่อยๆถูกยกสูงมากกว่าเดิมจนทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นจนชาติชายสามารถสอดตัวเข้าไปใต้ท่อนไม้
ยอดชายก็เอาบ่าอันกำยำบึกบึนของเขารองรับไว้ใต้เสาไม้ ในที่สุดเสาไม้สักขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นวางพาดอยู่บนบ่ากำยำล่ำบึ้กของชายทั้งสองคนได้สำเร็จท่ามกลางเสียงเฮและปรบมือดีใจของบรรดากองเชียร์ของทั้งคู่
ชายหนุ่มช่วยกันแบกเสาไม้สักเดินขึ้นเขาทีละก้าวจนกระทั่งบรรลุถึงจุดหมาย
ทั่งคู่ค่อยๆย่อตัวทิ้งเสาไม้ลงกับพื้นพร้อมกัน..
’ปึกกกก!!’ เสียงทึบแน่นของไม้เนื้อแข็งท่อนสุดท้ายกระแทกลงบนพื้นดินด้วยความร่วมแรงกันของทั้งคู่ซึ่งก็เป็นเวลาเพียงสี่โมงเย็น
ทั้งยอดชายและชาติชายต่างทรุดฮวบนั่งลงกับพื้นเพราะใช้เรี่ยวแรงไปจนเกือบหมด
แผงอกกว้างหนากำยำสะท้อนขึ้นลงถี่กระชั้นด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อกาฬไหลหลั่งอาบชโลมทั่วร่างจนกางเกงในของทั้งคู่เปียกแฉะ
ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่าบรรดากองเชียร์ ชาตรีและชัชชายต่างรีบเข้ามาหาผู้เป็นพ่อของตนพร้อมถามด้วยถ้อยคำแสดงความห่วงใยกตัญญู...
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ?”
ไอ้แดงกับไอ้ดำต่างถอดเสื้อของตัวเองใช้สะบัดพัดให้ผู้เป็นลูกพี่ทั้งสองคนพร้อมกับกล่าวชมไม่ขาดปากถึงแม้ว่าประโยคท้ายจะฟังดูเหมือนไม่คล้ายชมซักเท่าไหร่...
”สุดยอดเลยลูกพี่ แรงเยอะยังกับกอลิล่า ฮ่าๆๆ” ไอ้แดงพูดไปหัวเราะไป
“กอลิล่ายังน้อยไป กูว่ายักษ์มากกว่า ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำกล่าวสมทบพร้อมกับทำหน้าตาขึงขังเลียนแบบยักษ์ดูตลกพิกลแต่มือก็ยังสะบัดพัดไม่หยุด
“เฮ้ยๆ ถึงกูจะใช้แรงไปเยอะแต่ก็ยังพอมีแรงเตะมึงอยู่นะเว้ยไอ้ดำ” ยอดชายพูดปนหอบหายใจขณะที่แผ่นหลังบึกบึนแกร่งกล้ามของเขากับชาติชายพิงกันแนบชิด
“เออจริง กูก็ยังมีแรงพอจะเตะมึงได้นะไอ้แดง” ชาติชายกล่าวเสริม
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงลูกน้องคนงานที่มายืนดูการแข่งขันต่างเดินกลับลงจากเขาไปกันซักพักแล้วชาติชายจึงบอกกับชัชชายและไอ้แดงว่า
“พวกมึงลงจากเขาไปก่อนกูมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับไอ้ยอดหน่อย เสร็จแล้วจะตามลงไป”
ประโยคนี้ถึงแม้จะเป็นการบอกกับชัชชายและไอ้แดงแต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการคุยตามลำพังกับยอดชาย
ทางด้านชาตรีและไอ้ดำก็มองหน้ายอดชายคล้ายกับจะถามความต้องการของชายหนุ่มผิวเข้ม
ซึ่งยอดชายก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
“พวกมึงก็ลงไปก่อน เดี๋ยวกูคุยธุระเสร็จจะตามลงไป”
เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่เดินลงจากเขาลับตาไปแล้วชาติชายจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อสวรรค์กำหนดให้มึงกับกูไม่อาจตัดสินชี้ขาดกันเองได้ งั๊นก็ต้องให้ทิพย์เป็นคนตัดสิน!”
“ยังไงวะ?”
ยอดชายถามขณะที่แผ่นหลังแกร่งกล้ามเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดกันในลักษณะนั่งเหยียดขาเอาหลังพิงกัน
“พรุ่งนี้มึงกับกูไปถามทิพย์ตรงๆเลยว่าจะเลือกใคร?”
ชาติชายกล่าวอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา
“เออ
ก็ดีเหมือนกัน” ยอดชายกล่าวเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
ทั้งคู่ขยับหันกายแกร่งกล้ามกำยำมาจับมือกันในลักษณะนั่งอยู่ข้างกันแทนการนั่งเอาหลังชนกันแบบเมื่อครู่
การจับมือถือเป็นการสมัครพร้อมใจว่าหากฝ่ายหญิงเลือกใครก็ตามถือเป็นข้อยุติความขัดแย้ง
ขณะหันมาจับมือกัน...แว๊บนึงของสายตาทั้งคู่ต่างสังเกตเห็นว่าหมอยของอีกฝ่ายที่ไล่ลามจากใต้สะดือเข้าไปภายในกางเกงในอันขะมุกขะมอมอับกลิ่นเหงื่อนั้นมีความรกดกดำพอๆกันกับตนโดยดูจากเส้นหมอยสีดำสนิทแผ่ล้นเป็นเส้นๆออกมาตามขอบผ้าง่ามขาทั้งสองข้าง
เส้นหมอยแต่ละเส้นที่โผล่ทะลักลอดออกมาดูหนาแข็งหงิกงอและให้ความรู้สึกหยาบสากอย่างบอกไม่ถูกเพียงแต่ไม่รู้ว่าภายใต้ผ้ากางเกงในสีมอซอที่โป่งนูนปิดบังดงหมอยอยู่นั้นหากเปิดออกมาวัดกันจริงๆแล้ว
หมอยใครจะหยาบยาวแข็งสากและรกชัฏกว่ากัน? แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตัดเล็มขนเช่นเดียวกับตนนับเป็นความชอบที่หายากและมาตรงกันโดยบังเอิญ
เมื่อทั้งคู่ต่างรู้สึกตัวว่าสายตาของแต่ละฝ่ายกำลังมองขนหมอยของกันและกันโดยบังเอิญก็ทำให้ยอดชายต้องหันเหความสนใจไปที่บทสนทนาแทน
“กูถามอะไรมึงอย่างได้มั๊ยวะ?”
ยอดชายกล่าวเบี่ยงประเด็นแก้ความรู้สึกกระดากเมื่อครู่ที่เผลอมองหมอยกัน
ผู้ชายที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันและไม่เคยคิดจะมี
อยู่ๆมานั่งมองหมอยกันแม้จะแค่ชั่วครู่ก็ต้องรู้สึกกระดากบ้างเป็นธรรมดา
ทางด้านชาติชายก็แกล้งไหลตามน้ำเพราะความกระดากเช่นกันกล่าวว่า
“ลองถามมากูฟังอยู่”
“ทำไมถึงไปหลงรักช่อทิพย์ได้ เมียมึงไปไหนวะ?” คำถามนี้ของยอดชายหากเป็นเมื่อหลายวันก่อนคงได้ตะบันหน้ากันอีกยก
หากแต่ตอนนี้ความรู้สึกของชาติชายไม่ได้อคติกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนจึงเล่าเหตุการณ์เรื่องเมียตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่า
“กูหย่ากับเมียกูตั้งแต่ที่ไอ้ชัชอายุได้แปดขวบ”
แววตาของชาติชายดูหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า...
“มึงคงอยากรู้สาเหตุใช่มั๊ย?
สาเหตุอยู่ที่ทั้งตัวกูและก็เมียกู
กูอาจจะผิดที่เป็นผู้ชายที่ขี้เงี่ยนเย็ดเมียบ่อยจนเมียทนไม่ได้ปัญหาเตียงหักรักไม่ลงตัวก็เลยตามมา
ส่วนเมียกูหลังๆก็เริ่มติดพนันงอมแงมจนไม่สนใจลูกและที่ทำให้กูสุดจะทนก็คือ...”
ชาติชายเว้นจังหวะเล็กน้อยเหมือนกำลังสะกดข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ก่อนจะพูดต่อ...
“เมียกูยอมพลีกายให้ชายอื่นเพื่อล้างหนี้พนัน”
สิ้นคำบอกเล่าของชาติชายบรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท ทั้งคู่ไม่มีใครกล่าวอะไรต่อ
ยอดชายรับรู้ได้ถึงความอัดอั้นในหัวใจของอีกฝ่ายเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน
ผู้ชายย่อมเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกันได้ดี
ความเงียบงันเข้าปกคลุมจนผ่านไปครู่ใหญ่
ยอดชายจึงทำลายความเงียบชวนอึดอัดด้วยการถามว่า...
“เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยมึงถึงเกลียดการพนันและสั่งไม่ให้ลูกน้องเล่นการพนันให้มึงเห็น?
มิน่ากูมาที่นี่ไม่เห็นมีวงไฮโล วงไพ่ ปกติทุกที่ๆกูไปคุมงานต้องมีให้เห็นตลอด”
ชาติชายไม่ได้ตอบคำถามแต่นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
“จนกระทั่งกูมาเจอกับทิพย์
เกือบปีได้ ทิพย์เป็นผู้หญิงสวยเอาใจเก่งและกูก็ชอบทิพย์มาก
กูขอมีลูกกับทิพย์ก่อนที่มึงจะมาอยู่ที่นี่
กูคิดว่าถ้ากูมีลูกกับทิพย์จะได้เอาทิพย์ออกมาอยู่ด้วยกันซักทีแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทิพย์จะท้องกับกู
จนกระทั่งมึงเข้ามา” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ
“ว่าแต่มึงเถอะ
ทำไมเสือกมายุ่งกับทิพย์ของกู เมียมึงไปไหนวะ?” สีหน้าของชาติชายที่ดูหม่นลงเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ส่วนยอดชายที่ถูกย้อนถามกลับด้วยคำถามเดียวกันสีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชาเฉกเดิมก่อนจะเล่าเรื่องเมียของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“กูกับแม่ไอ้ตรีเรารู้จักกันสมัยเรียน
แม่ไอ้ตรีเค้าเป็นลูกคุณหญิงเราเรียนอยู่ต่างโรงเรียนแต่บังเอิญมาเจอกัน...มึงคงเดาเรื่องราวต่อได้” ยอดชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“มึงเลยโดนยัยคุณหญิงนั่นกีดกันความรัก?”
ชาติชายเดาเหมือนยิงธนูตรงเป้า
“แม่ไอ้ตรีหนีตามกูมา
เรามีอะไรกันจนมีไอ้ตรี ตอนนั้นกูยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรซักอย่าง
คุณหญิงเค้าไม่ยอมรับกูกับลูกและตอนแรกแม้แต่แม่ไอ้ตรีที่เป็นลูกสาวของคุณหญิงเองก็ไม่ยอมให้เข้าบ้านเพราะกลัวเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
กูกับเมียกัดก้อนเกลือกินกันมาจนไอ้ตรีอายุเกือบห้าขวบ สุดท้ายเมียกูเค้าก็ทนไม่ไหวทั้งในเรื่องความขี้เงี่ยนมีอารมณ์บ่อยของกูและความลำบากที่ต้องช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงตัวเองเพราะเมียกูเค้าไม่เคยลำบากมากก่อนก็เลยเลือกกลับไปขอขมาคุณหญิง
เวลาผ่านมาหลายปีความโกรธของคนเป็นแม่ก็เริ่มจางลงจนคุณหญิงยอมรับเพียงลูกสาวกลับเข้าบ้านอีกครั้งแต่คุณหญิงก็ยังไม่ยอมรับกูกับลูกเพราะหาว่ากูไปทำให้วงศ์ตระกูลอันสูงส่งต้องแปดเปื้อน
สุดท้ายคุณหญิงก็เลยเอาลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำยกให้เสี่ยคนนึงไปด้วยความเต็มใจของเมียกูเอง”
ยอดชายเล่าด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาหม่นทอดยาวออกไปเบื้องหน้าราวกับชายหนุ่มไร้ความรู้สึก
ทว่าลูกผู้ชายด้วยกันมีหรือจะปิดบังความรู้สึกกันได้ง่ายดายเพียงนั้น
ชาติชายรับรู้ได้ถึงความปวดร้าวเหงาลึกในหัวใจของอีกฝ่ายหากแต่พอนานวันเข้าจากความเจ็บปวดจึงกลายเป็นความชาชินปิดกั้นความรู้สึกทั้งปวงไว้ภายในราวกับกำแพงเหล็ก
“มึงก็เลยเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว
เลี้ยงไอ้ตรีคนเดียวมาจนถึงตอนนี้?” ชาติชายสรุป
ความเงียบงันของบรรยากาศรอบตัวเข้าห่อหุ้มชายหนุ่มทั้งคู่เอาไว้ด้วยกันอีกครั้ง
เขาทั้งคู่ต่างรู้สึกเหมือนกัน...ประการนั้นคือความเห็นใจซึ่งกันและกันหากแต่ไม่ได้แสดงออกใดๆให้อีกฝ่ายรับรู้แม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแสงสุดท้ายแห่งทิวาเริ่มจางหาย
ชาติชายจึงพูดขึ้นว่า...
“กลับห้องพักกันดีกว่าว่ะ” ชาติชายขยับลุกขึ้น
แต่ขาล่ำกล้ามที่ใช้แรงอย่างหนักมาเกือบสี่ชั่วโมงเต็มจนอ่อนล้าคล้ายไม่ฟังคำสั่ง
ขณะที่ลึกขึ้นยืนชาติชายเกือบเซล้มลงดีที่ยอดชายช่วยพยุงไว้ทัน ซึ่งยอดชายเองก็มีสภาพไม่ต่างจากอีกฝ่าย
ทั้งคู่จึงต้องช่วยพยุงกันและกันด้วยการกอดคอกันเดินลงจากเขา
ระหว่างทางที่กอดคอกันลงจากเขาทั้งคู่ต่างสูดได้กลิ่นตัวอับเหงื่อของกันและกัน...กลิ่นเหงื่อที่ผสมกันอย่างลงตัวจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครรู้เพียงแต่กลิ่นแบบนี้สามารถทำให้เลือดอุ่นๆในกายของลูกผู้ชายด้วยกันฉีดพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจได้อย่างน่าประหลาดแต่สิ่งที่จะทำให้ทั้งคู่ยิ่งต้องประหลาดใจกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้...To
be continued.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น