วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 11 - ความฝัน

จันทราเต็มดวงลอยเด่นบนนภาดุจแก้วมณีแห่งรัตติกาลส่องสว่างมลังเมลืองลงมายังเทวาลัยบนเนินเขา พลันปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนกำลังก้าวเดินอย่างองอาจมั่นคงฝ่าความมืดขึ้นมาตามบันไดหินที่สองฝากข้างมีรูปปั้นพญานาคราชแผ่พังพานทอดตัวจากด้านล่างขึ้นสู่เบื้องบน เมื่อกลุ่มคนเดินขึ้นมาจนถึงชานพักต่างระดับโล่งกว้างซึ่งเหลือบันไดอีกเพียงเก้าขั้นก็จะถึงปากประตูทางเข้าเทวาลัย...คนทั้งหมดต่างชะงักเท้า แสงจันทร์สาดส่องจึงค่อยเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มคนที่ก้าวเดินขึ้นมามีทั้งสิ้นหกคนโดยยืนเป็นคู่ๆเรียงแถวตอนสองแถวๆละสามคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศร่างกายกำยำแข็งแรง ท่อนบนเปลือยโชว์กล้ามเนื้อหนั่นแน่นแข็งแกร่งโดยเฉพาะบุรุษสองคนผู้เดินนำหน้าขบวนนั้นมีกล้ามเนื้อใหญ่หนาล่ำสันบึกบึนกว่าชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ หากเมื่อชาติชายเพ่งมองเค้าใบหน้าของคนทั้งหกจำต้องถึงกับงงงันวูบเพราะถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งสองคนผู้เดินนำขบวนจะมีสีดอกเลาแซมอยู่ทั่วอันบ่งบอกว่าน่าจะอยู่ในวัยล่วงห้าสิบปีไปแล้วทว่าบุคลิกลักษณะรวมทั้งรูปลักษณ์ใบหน้า ปากคอคิ้วคางทุกประการล้วนเหมือนกับตนเองและยอดชายราวกับฝาแฝดและยิ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางของแต่ละแถวนั้นก็มีใบหน้าบุคลิกลักษณะเหมือนกับชาตรีและชัดชายบุตรของตนอย่างมิผิดเพี้ยนเพียงแต่ดูราวกับว่าในยามนี้ชาตรีและชัดชายเติบโตขึ้นจนอยู่ในวัยสามสิบเศษแล้ว สำหรับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยืนรั้งท้ายขบวนของแต่ละแถวนั้นแม้เค้าใบหน้าจะละม้ายคล้ายกับชาติชายและยอดชายรวมกันอยู่หลายส่วนแต่กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน มิทราบว่าเป็นผู้ใด? แต่คาดว่าน่าจะอายุราวสิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้นหากเพียงลักษณะท่าทางแววตาของเด็กหนุ่มทั้งสองกลับดูองอาจกล้าหาญเกินวัยและสิ่งที่สะดุดตาอีกประการคือคนทั้งหกมีเพียงหนังสัตว์ที่ตัดเป็นรูปทรงคล้ายรูปสามเหลี่ยมสั้นๆเพียงชิ้นเดียวคาดพันอยู่รอบเอวแกร่งเพื่อใช้ปิดบังอวัยวะเพศชายของตนไว้เท่านั้นดูไปคล้ายกับพวกทาร์ซานที่อาศัยอยู่ในป่าลึก...


error loaded



พิมพ์คำอธิบายที่นี่

ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนชาตรีกับชัดชายเดินปลีกตัวตรงไปยังกลองหนังสัตว์ที่วางตั้งสูงระดับอกอยู่ตรงชานพักในขณะที่บุรุษสองคนที่เดินนำขบวนต่างก้าวเดินอย่างผึ่งผายสง่างามตรงขึ้นไปยังทางเข้าเทวาลัยด้านบนโดยมีเด็กหนุ่มอีกสองคนเดินเว้นระยะห่างอยู่ข้างหลัง สองมือใหญ่หยาบแข็งแรงของผู้เดินนำหน้าทั้งสองคนผลักเปิดประตูทั้งสองบานผางออกพร้อมกับก้าวเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะดึงบานประตูกลับมาปิดไว้ตามเดิมและยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าซ้ายขวาของทางเข้าเทวาลัย
เมื่อเท้าใหญ่หนาเปลือยเปล่าของสองบุรุษล่วงล้ำเข้าสู่จุดลึกสุดของเทวาลัยอันเรียกว่า “ห้องพิธี” ซึ่งเป็นห้องปิดที่กว้างประมาณห้าเมตรที่เบื้องบนหลังคาห้องด้านในสุดติดกับผนังกำแพงถูกเจาะให้มีช่องเล็กๆสำหรับให้แสงจันทราส่องลอดเข้ามากระทบกับผิวน้ำในบ่อน้ำช่วยให้เกิดแสงสะท้อนสว่างภายในห้องมากขึ้น บุรุษทั้งสองเดินตรงไปยังเสาศิลาสูงเมตรเศษซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาหน้าบ่อน้ำ ส่วนบนของเสาศิลามีลักษณะบานออกคล้ายปากชามใบใหญ่ภายในบรรจุเชื้อเพลิงหลายชนิดพร้อมกับใช้หินลักษณะแปลกตาที่วางอยู่ข้างๆเสาศิลานั้นจุดไฟให้สว่างวาบขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะถอยกายกำยำกลับมายืนคู่กันอยู่ด้านหน้าบ่อน้ำ
เมื่อไฟจากเสาศิลาทั้งสองต้นถูกจุดขึ้น...เบื้องหน้าของบุรุษทั้งคู่ตรงกำแพงฉากหลังของบ่อน้ำถูกแกะสลักเป็นรูปเคารพสัดส่วนเทียบเท่ามนุษย์จริง...เทวรูปสี่กรเปลือยพระวรกายท่อนบนเผยให้เห็นความกำยำบึกบึนเฉกเช่นมหาบุรุษอยู่ในปางประทับนั่งขัดสมาธิบัลลังก์บนหลังพญาคชสารสองเศียรมองดูน่าเคารพเกรงขามยิ่ง
พระหัตถ์ของเทวรูปต่างกุมศาสตรากระชับมั่นคง...พระหัตถ์ขวาบนถือคันศรกับลูกศร พระหัตถ์ซ้ายบนถือบ่วงบาศสีแดงสดปานชโลมด้วยโลหิต พระหัตถ์ขวาล่างทรงถือขอช้าง(ขอกามคุณ) ส่วนพระหัตถ์ซ้ายล่างแบหงายอยู่ในปางประทานพร

แสงไฟที่กระทบกับผิวน้ำวูบวาบอยู่ภายในห้องทำให้ดูราวกับว่าพระกรทั้งสี่ข้างของเทวรูปสะบัดพลิ้วไหวไปตามพื้นผนังห้องราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ! คันศรกับลูกศรเป็นอาวุธของพระกามเทพแทนความรัก บ่วงบาศสีแดงหมายถึงความผูกพันที่คล้องใจคนทั้งสองไว้ด้วยกัน ขอกามคุณหมายถึงความกำหนัดในกามระหว่างคู่รัก หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสามสิ่งนี้ชีวิตคู่ย่อมพังทลาย ส่วนคชสารหรือช้างเป็นสัญลักษณ์แทนพละกำลังของบุรุษเพศ...ยามใดก็ตามหากกายและใจของบุรุษสองคนสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เท่ากับเป็นการผนึกกำลังอันแข็งแกร่งมั่นคงสองสายเข้าด้วยกันย่อมก่อเกิดพลานุภาพเพิ่มพูนเปี่ยมล้นอุปมาเหมือนดั่งคชสารสองเศียรนี้ ความหมายโดยรวมของเทวรูปแกะสลักเบื้องหน้าจึงหมายถึงการจะหลอมรวมกายและใจของบุรุษเพศสองคนเข้าด้วยกันได้ย่อมต้องกอปรขึ้นจาก ความรัก ความผูกพันและความกำหนัดในกามระหว่างกันเป็นเครื่องผูกคล้องชายสองคนไว้ด้วยกันโดยมีพระกามเทพเป็นผู้ลิขิตควบคุมสูงสุด...บุรุษที่มีใบหน้าเหมือนกับชาติชายและยอดชาย ทั้งคู่คุกเข่าลงเบื้องหน้าเทวรูปพร้อมกับหมอบกราบลงอย่างช้าๆด้วยความเคารพยำเกรง

“โอม! กามาเทวะ...นมัส” มนต์บูชามหากามเทพ...เทวะราชันแห่งชายรักชายกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงกลองจากด้านนอกดังรัวเป็นจังหวะอันเร้าใจบ่งบอกว่า 'พิธีกรรมพลีกามบูชาเทพ' กำลังจะเริ่มขึ้นภายใต้บรรยากาศในห้องพิธีที่อวลอบไปด้วยกลิ่นคาวแห่งกามโลกีย์วิสัยระหว่างบุรุษกับบุรุษคละคลุ้งสะกิดชวนให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้อย่างง่ายดาย
หลังจากบุรุษทั้งสองคนหมอบกราบรูปเคารพขององค์กามเทพครบสามครั้งจึงค่อยหันหน้าเข้าหากันในลักษณะคุกเข่าอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ต่างฝ่ายต่างปลดหนังสัตว์ที่ผูกติดที่เอวของตนออกเผยให้เห็นเครื่องเพศแห่งความเป็นชายครบสมบูรณ์ทั้งลำลึงค์แข็งหนาใหญ่ยาวที่ชี้โด่เข้าหากัน ถุงไข่ใบเขื่องห้อยยานอยู่ใต้ลำลึงค์ราวกับจะท้าทายข่มขวัญอีกฝ่ายและถึงแม้เส้นผมของบุรุษทั้งคู่จะเริ่มมีสีดอกเลาแซมให้เห็นอยู่ทั่วศีรษะแต่ดงหมอยกับขนรักแร้กลับยังคงมีสีดำขลับและดกยาวไม่ต่างจากเมื่อครั้งสมัยยังเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แม้แต่น้อย
ชาติชายมองภาพเหตุการณ์ด้วยความตะลึงงันในขณะที่บุรุษคู่ตรงหน้าต่างกำลังเบ่งกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นไร้ไขมันอวดโชว์กันในระยะประชิดเพื่อเร่งความกำหนัดเร้าใจของอีกฝ่ายให้พุ่งทะยานถึงขีดสุด แววตาหื่นกามของบุรุษทั้งคู่ต่างสำรวจซอกซอนไปทุกอณูเนื้อแกร่งสง่างามของกันและกัน ในบางจังหวะที่แววตาของบุรุษทั้งสองสบกันบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความต้องการทางเพศอย่างเปี่ยมล้นจนลำลึงค์ที่แข็งโด่มีเส้นเลือดแผ่พันปูดโปนอยู่โดยรอบตอบสนองอารมณ์เงี่ยนด้วยการกระดกหัวที่ถอกบานหงึกๆๆๆอย่างสุดระงับก่อนที่บุรุษเพศทั้งสองจะใช้มือหยาบกร้านสัมผัสลูบไล้เล้าโลมไปตามเรือนร่างแกร่งกล้ามเปลือยเปล่าของกันและกัน จากนั้นจึงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหากันช้าๆจนสูดดมได้กลิ่นเหงื่อแห่งความเป็นชายและลมหายใจอันร้อนผ่าวป่าเถื่อนของกันและกันก่อนจะประกบริมฝีปากหยาบหนาบดจูบแลกลิ้นกันอย่างดิบเถื่อนเผ็ดร้อน ร่างแกร่งกล้ามสองร่างกอดรัดประกบเข้าหากันราวกับจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวโดยมีเทวรูปเป็นฉากหลัง...ในระหว่างที่ชาติชายกำลังตกตะลึงอยู่ในภวังค์กับภาพตรงหน้าพลันบังเกิดสุ้มเสียงอหังการกังวานแว่วดังดุจระฆังทองซ้อนขึ้นมาในจิต
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” พร้อมกับภาพตรงหน้าเมื่อครู่ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆจนในที่สุดกลายเป็นความมืดมิด...
สุ้มเสียงลี้ลับปริศนาที่ดังแว่วมานี้เต็มไปด้วยอานุภาพอำนาจบารมีอย่างที่ชาติชายไม่เคยได้ยินและรู้สึกเช่นนี้มาก่อนในชีวิตราวกับไม่ใช่เสียงของบุรุษทั่วไปที่เป็นมนุษย์ แม้ในใจของชายหนุ่มจะเกิดความยำเกรงต่อเสียงที่ได้ยินแต่ยังคงย้อนถามด้วยความเคยชินตามสันดานหยาบของผู้ชายออกไปว่า
“ใครวะ?” หากแต่เสียงที่ตอบกลับมาคล้ายสะท้อนก้องอยู่ในหัวสมอง...
“ข้าคือกามเทวามหาบุรุษ บุตราแห่งมหาเทพผู้กำหนดความเป็นไปแห่งรักของสรรพสัตว์ทั้งปวง”
“ต้องการอะไร?” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะจากประโยคเมื่อครู่ที่บอกว่าเขากับช่อทิพย์ไม่ใช่เนื้อคู่กัน
“เจ้าทั้งสองคือขุนพลผู้เป็นอณูแห่งข้าและมีหน้าที่ๆจะต้องกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคือ...ชะตากรรม!”
“อณู...หน้าที่...ชะตากรรมอะไร?” ชาติชายย้อนถามไม่ลดละ

เสียงพระสรวลกังวานก่อนจะตรัสว่า...
“ดวงดาวที่แตกดับ
ผันคืนกลับดังอดีต
ด้วยข้าลิขิตขีด
สองขุนศึกรับบัญชา
หน้าที่ของพวกเจ้า
คือร่วมเพศเสพกามา
เพิ่มพูนฤทธิ์แห่งข้า
แนบประสานความเป็นชาย!”

การเกิดใหม่เปลี่ยนภพชาติทำให้ชาติชายไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้หากแต่ท้ายสุดคล้ายได้ยินประโยคของตนเองในอดีตชาติลอยล่องมาแต่ไกลอย่างแผ่วเบาแต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นชัดเจนยิ่ง...
“กระหม่อมขอน้อมรับพระบัญชา...”

เฮือก!...ชาติชายสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่ง...’ฝันเหรอ ทำไมมันเหมือนจริงจังวะ?’ ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากผุดพรายขณะที่สายตากวาดมองรอบห้อง ชัดชายกับชาตรียังคงนอนหลับอยู่ข้างเตียงหากแต่เตียงของยอดชายกลับว่างเปล่า

ยามนี้ท้องฟ้าใกล้สว่างสางชาติชายจึงขยับลุกไปเข้าห้องน้ำล้างตัว กล้ามเนื้อที่ฟกช้ำบาดเจ็บจากการชกต่อยกับยอดชายเมื่อวานซืนและการใช้งานอย่างหนักเมื่อวานในการแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบเริ่มส่งผลปรากฏชัดโดยการปวดระบมมากกว่าเมื่อวานหลายเท่าราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆหากแต่ชายชาติพยัคฆ์ไหนเลยจะแสดงอาการโอดครวญอ่อนแอออกมาให้โลกเยาะหยันเยี่ยงอิสตรีได้ ยอดชายเองก็เช่นกัน...หลังจากตื่นนอนเขาก็รู้สึกปวดแปลบไปทั่วตัวหากแต่ว่ายังคงฝืนหยัดกายลุกออกจากห้องไปเพราะมีบางอย่างต้องการพิสูจน์และเมื่อชาติชายล้างตัวใส่เสื้อผ้าเดินออกจากห้องมาก็เห็นยอดชายรวมทั้งไอ้แดงกับไอ้ดำพากันเดินลงจากเขามา
“พวกมึงขึ้นไปทำอะไรกันมาวะ?” ชาติชายถามด้วยความแปลกใจเพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานแต่ยอดชายที่เดินนำหน้าไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนจะเดินเข้าห้องพักไปยิ่งสะกิดความสงสัยของคนถามให้อยากรู้มากกว่าเดิมจึงหันไปถามลูกน้องคนสนิทของตนแทน...
“ไอ้แดง...ว่าไงมึง?”
“เมื่อเช้าผมเห็นลูกพี่...เอ่อ” ไอ้แดงไม่แน่ใจว่าชาติชายยอมให้ตนเรียกหายอดชายเป็นลูกพี่ได้หรือยัง? ดังนั้นพอพูดถึงคำว่าลูกพี่คำพูดจึงสะดุดลงแต่เหมือนชาติชายจะอ่านใจลูกน้องออกจึงพูดว่า
“กูกับไอ้ยอดปรับความเข้าใจกันแล้ว มึงเล่าต่อไป”
ไอ้แดงกับไอ้ดำมองหน้ากันก่อนที่ไอ้แดงจะเป็นคนเล่าต่อไปว่า
“เมื่อเช้าพวกผมตื่นมาเห็นลูกพี่เค้าออกมาจากห้องท่าทางรีบร้อนเดินขึ้นเขาไปคนเดียว ผมกับพี่ดำแปลกใจเลยตามขึ้นไปดู พอไปถึงก็เห็นลูกพี่กำลังจะเดินเข้าไปในดงไม้ที่มันไม่มีทางเดินแต่พวกผมเรียกไว้ก่อน พอถามว่าเกิดอะไรขึ้นลูกพี่เค้าก็บอกว่าไม่มีอะไรและก็พากันเดินลงเขามานี่แหละครับ” คนเล่าเหตุการณ์แสดงสีหน้าแปลกใจคล้ายกับจะถามความเห็นของคนฟัง
ชาติชายพอฟังเรื่องราวก็ยังขบคิดไม่เข้าใจได้แต่บอกว่า “เดี๋ยวเรื่องนี้กูจะถามไอ้ยอดมันเอง พวกมึงไปเตรียมตัวทำงานเถอะนี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว”

ยอดชายเดินเข้าห้องพักเพื่อไปปลุกชาตรีลูกชายของตนรวมทั้งชัดชายให้ลุกไปอาบน้ำล้างตัวแล้วจึงขับรถพาเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปส่งที่ขนส่งก่อนจะกลับมาทำงานต่อจนกระทั่งห้าโมงเย็นจึงนั่งรถไปกับชาติชายเพื่อไปเคลียร์ปัญหาหัวใจกับช่อทิพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวานแต่ระหว่างทางที่ชาติชายทำหน้าที่เป็นสารถีเขาก็คิดถึงความฝันเมื่อตอนก่อนรุ่งสางที่ว่า
“ช่อทิพย์หาใช่เนื้อคู่ของพวกเจ้าทั้งสองไม่” แม้จะเป็นคำพูดในความฝันที่ดูช่างเลื่อนลอยไร้สาระหากแต่กลับสามารถสั่นคลอนความรู้สึกของชาติชายได้อย่างน่าประหลาดเพราะคำพูดจากบุรุษปริศนาในฝันนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นคำพูดประกาศิตที่ไม่อาจไม่เชื่อได้...

“โอม! กามาเทวะ...นมัส” ชาติชายเอ่ยมนต์บูชาพระกามเทพที่ได้ยินในความฝันขึ้นมาเบาๆคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจหากแต่เพราะอยู่ในรถจึงทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย...ยอดชายที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปมองก่อนจะถามด้วยท่าทางประหลาดใจขึ้นว่า
“มึงไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน?”
ด้วยเพราะชาติชายกำลังใช้ความคิดประกอบกับใช้สมาธิในการขับรถไปด้วยคำพูดที่ออกจากปากมาเบาๆเมื่อครู่เขาจึงไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยจึงถามกลับไปว่า
“คำพูดอะไรวะ?”
“โอม กามาเทวะ...นมัส มึงไปเอามาจากไหน?” ยอดชายถามซ้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูฝัน...มีไรวะ?” ชาติชายตอบไปตามความจริงโดยที่สายตายังคงมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
“มึงอย่าบอกนะว่ามึงฝันเห็นเทวรูปสี่กรด้วย!?”
เอี๊ยดดด!...ชาติชายเบรครถกระทันหัน โชคดีที่เป็นถนนในหมู่บ้านชนบทที่นานๆทีจึงจะมีรถขับผ่านมาซักคัน

“มึงรู้ได้ยังไง?” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย คำถามเต็มไปด้วยความสงสัยเปี่ยมล้นเพราะชายหนุ่มแน่ใจว่าตั้งแต่ที่เขาฝันเมื่อตอนเช้ามืดมาจนกระทั่งวินาทีนี้ยังไม่เคยเล่าความฝันนั้นให้ใครได้ฟังเลยแม้แต่คนเดียว!...To be continued.

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 10 - พลังแห่งมิตรภาพของลูกผู้ชาย

ทันทีที่ชาตรีฟันมือลงซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน ร่างสูงใหญ่กำยำหนึ่งขาวหนึ่งคล้ำเข้มต่างโถมพุ่งอย่างสุดกำลังไปยังกองไม้สักที่วางสุมกันตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างจับส่วนปลายของเสาไม้สักคนละต้นก่อนจะออกแรงเกร็งกำลังแขนดึงท่อนไม้ที่วางอยู่ด้านบนสุดให้เลื่อนออกมาจากกองไม้ ซึ่งเสาไม้แต่ละต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวยี่สิบห้าเซ็นติเมตรพอดีเหมาะกับมือที่ใหญ่หนาแข็งแรงของชายหนุ่มทั้งคู่..."ครืดดดด" เสียงท่อนไม้หนาหนักเกือบสามร้อยกิโลกรัมถูกดึงครูดให้เคลื่อนที่ออกจากกองไม้จนตะแคงลงมาเกือบสี่สิบห้าองศากระแทกกับพื้นดินดัง "ตึ้บบบ" ผิวของไม้เนื้อแข็งที่ขูดและกระแทกกับพื้นหาเป็นรอยใดๆไม่...สมกับที่เป็นไม้เนื้อแข็งอันล้ำค่า จากนั้นทั้งยอดชายและชาติชายต่างฝ่ายต่างใช้บ่าของตนสอดเข้าไปหนุนรับน้ำหนักของเสาไม้สักที่เอียงเกือบสี่สิบห้าองศาเอาไว้ก่อนจะขยับออกทางด้านข้างเพื่อให้ท่อนไม้เลื่อนออกมาจากกองไม้และพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้างอย่างสมดุลมั่นคง
กล้ามเนื้อที่หยาบหนาของชายหนุ่มทั้งสองคนเกร็งตัวออกแรงแบกรับน้ำหนักจนเห็นลวดลายมัดกล้ามแตกออกเป็นริ้วปรากฏเส้นเลือดปูดโปนแตกแขนงพาดผ่านไปมาทั่วร่างราวกับลายแทงขุมทรัพย์
ต่างฝ่ายต่างแข่งกันแบกเสาไม้สักมุ่งหน้าก้าวเดินขึ้นเขาทีละก้าวแบบไม่มีใครยอมใครรอบแล้วรอบเล่าจนเหล่ากองเชียร์ที่เดินตามขึ้นลงเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากันก่อน บ้างก็หยุดนั่งดูระหว่างทาง บ้างก็รอดูอยู่เชิงเขา บ้างก็เดินขึ้นไปรออยู่บนเขาเพื่อดูว่าใครจะชนะโดยที่ไม่เดินตามชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นลงเขาอีกเหมือนช่วงแรกๆเพราะหมดแรง เสาไม้สักถูกขนย้ายขึ้นมากองรวมกันบนเขาได้สิบสี่ต้นเท่ากับว่าชายหนุ่มทั้งสองคนต่างขึ้นลงเขามาแล้วคนละเจ็ดรอบ แม้มัดกล้ามของบุรุษทั้งคู่จะแข็งแกร่งสมบูรณ์แต่จะอย่างไรก็สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อย่อมมีเหนื่อยล้าเมื่อใช้แรงอย่างหนักและต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้อีกสามรอบที่เหลือต้องใช้เวลาแบกเสาไม้สักเดินขึ้นเขานานขึ้นกว่ารอบแรกๆตามลำดับ เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายไหลอาบชโลมผิวกายหยาบหนาแกร่งกร้านของชายหนุ่มทั้งคู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันมะเมื่อมไปทั้งตัวให้ความรู้สึกเหนียวอับอย่างบอกไม่ถูก กางเกงในเก่าๆของชายหนุ่มทั้งสองคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากขนรักแร้กับเส้นหมอยอันหยาบสากดกดำล้วนส่งกลิ่นอับเหงื่อโชยชายอยู่รอบกายคนทั้งสอง ยิ่งเดินแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบมากเท่าไหร่แผงอกแน่นกล้ามของชายหนุ่มทั้งคู่ยิ่งสะท้อนขึ้นลงถี่ขึ้นตามลำดับ บอกได้ถึงความเหนื่อยหอบที่มากขึ้นตามจำนวนรอบที่ออกแรง ความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องฟันฝ่าเอาชนะกันไม่เพียงแค่น้ำหนักหลายร้อยกิโลที่ต้องแบกรับไว้บนบ่าหากแต่เป็นทางลาดชันขึ้นเขาที่ยิ่งเร่งความเหนื่อยล้าให้มากขึ้นเป็นเท่าทวี
"ตึ้บบบบ" เสียงเสาไม้สักทองต้นที่สิบเก้าและยี่สิบถูกวางกระแทกลงบนพื้นดินพร้อมกันนั่นเท่ากับว่ามาถึงตอนนี้ผลการแข่งขันยังคงเสมอกัน กลุ่มคนงานที่รอเชียร์อยู่เชิงเขาต่างพูดคุยกันเสียงดัง...
“ต้นสุดท้ายแล้วโว้ย”
“ใครจะยกไหววะเนี่ย ต้นใหญ่ขนาดนี้”
ชาตรีซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินร่วมกับชัดชายจึงพูดว่า...
“ตอนนี้ผลการแข่งยังถือว่าเสมอกันอยู่ครับ ไม้สักทองต้นสุดท้าย ใครยกขึ้นไปวางบนเขาได้ ถือว่าเป็นผู้ชนะ”
เสาไม้สักต้นสุดท้ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งไม้บรรทัดเศษซึ่งมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่าเสายี่สิบต้นก่อนหน้าเกือบเท่าตัว ยอดชายกับชาติชายต่างมองหน้ากันก่อนที่ชาติชายจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“กูขอลองก่อน” พูดจบชาติชายก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ตอนนี้พยายามขยับยกเสาไม้สักต้นสุดท้ายหากแต่พอเสาไม้ขยับสูงจากพื้นได้เพียงสามไม้บรรทัดแรงที่ใช้ออกคล้ายถูกถมลงสู่ท้องทะเลหายสาบสูญไม่สามารถขยับยกให้สูงกว่านี้ได้อีก สุดท้ายจึงต้องวางลงที่เดิมปล่อยให้ยอดชายเป็นฝ่ายลองบ้าง ซึ่งเมื่อยอดชายลองใช้กำลังที่เหลือของตนขยับยกเสาไม้ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างจากอีกฝ่ายคือไม่สามารถยกเสาไม้สักที่มีน้ำหนักเกือบห้าร้อยกิโลขึ้นมาพาดบ่าได้ ขณะที่ยอดชายกำลังพยายามออกแรงจนหน้าแดงก่ำแต่ทว่าไม้สักก็ตะแคงสูงเหนือพื้นขึ้นมาระดับเอวเท่านั้นแต่แล้วจู่ๆชาติชายที่ยืนดูอยู่ด้านข้างกลับก้าวเดินเข้ามาสอดมือทั้งสองไปใต้เสาไม้ออกแรงช่วยยอดชายสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาลูกน้องคนงานที่ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ ชัดชายกับชาตรีเองก็ถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงแปลกใจ หากแต่ในใจย่อมรู้สึกยินดีเพราะถือเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าพ่อของพวกตนกำลังจะแปรเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรสหายกัน รอยร้าวกำลังจะถูกเชื่อมประสาน!...มิตรภาพระหว่างลูกผู้ชายหลายครั้งมักก่อกำเนิดเกิดขึ้นในสนามการต่อสู้แข่งขันกันเช่นนี้ หากการต่อสู้กันเพียงหวังผลแพ้ชนะแต่ไม่สามารถทำงานใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ยังจะมีประโยชน์อันใด?
ชายหนุ่มทั้งคู่ส่งเสียงคำรามก้องออกแรงประสานกันอย่างสุดกำลัง...“ย๊ากกกก!!”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังความกร้าวแกร่งของบุรุษหนุ่มสองคนดังสะท้านกึกก้องทั่วหุบเขา เมื่อบุรุษเพศสองคนร่วมใจทุ่มเทกำลังหนุนเนื่องส่งเสริมกันและกันเช่นนี้ต่อให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ใหญ่หลวงหรือหนักหนาสาหัสกว่านี้ย่อมสามารถช่วยกันฟันฝ่าไปได้ในที่สุด...ไม้สักทองค่อยๆถูกยกสูงมากกว่าเดิมจนทำให้ชาติชายสามารถสอดตัวเข้าไปใต้ท่อนไม้ ยอดชายก็เอาบ่าอันกำยำบึกบึนของเขารองรับไว้ใต้เสาไม้อีกด้าน  ในที่สุดเสาไม้สักขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นวางพาดอยู่บนบ่ากำยำล่ำบึ้กของชายหนุ่มทั้งสองคนได้สำเร็จท่ามกลางเสียงเฮและปรบมือดีใจจากบรรดากองเชียร์ของทั้งคู่
กล้ามเนื้อของยอดชายกับชาติชายต่างเขม็งเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนทั่วสรรพางค์ ทั้งคู่กัดฟันออกแรงจนมองเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ บนใบหน้า สองข้างแก้มและเนื้อตัวอันหนั่นแน่นของชายหนุ่มทั้งสองมีหยาดเหงื่อไหลรินหลั่งตลอดเวลาที่ช่วยกันแบกเสาไม้สักหนักเกือบห้าร้อยกิโลกรัมเดินขึ้นเขาทีละก้าว ใบหน้าหล่อคมของชาติชายและใบหน้าหล่อเข้มของยอดชายต่างแดงก่ำ จนกระทั่งในที่สุดบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ทั่งคู่ค่อยๆย่อตัวทิ้งเสาไม้ลงกับพื้นพร้อมกัน...
"ปึกกกก!" เสียงทึบแน่นของไม้เนื้อแข็งต้นสุดท้ายกระแทกลงบนพื้นดินด้วยความร่วมแรงกันของลูกผู้ชายสองคนซึ่งการยกแบกขนย้ายไม้สักทองทั้งยี่สิบเอ็ดต้นใช้เวลารวมทั้งสิ้นสี่ชั่วโมงเศษจึงแล้วเสร็จ
"เฮ..." เสียงโห่ร้องปรบมือดีใจอย่างชื่นชมของบรรดาลูกน้องกองเชียร์ดังเกรียวกราว
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น สองร่างสูงใหญ่กำยำต่างทรุดฮวบนั่งกระแทกลงกับพื้นราวกับนัดแนะ แผงอกกว้างหนาบึกบึนสะท้อนขึ้นลงตามลมหายใจที่ีหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าเพราะใช้เรี่ยวแรงไปจนเกือบหมดสิ้น เหงื่อกาฬไหลหลั่งอาบชโลมทั่วร่างแกร่งจนกางเกงในของทั้งคู่เปียกแฉะอับชื้น ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่าบรรดากองเชียร์ ชาตรีและชัดชายต่างรีบเข้ามาหาบิดาของตนพร้อมถามอาการด้วยถ้อยคำแสดงความห่วงใยกตัญญู...
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ?” พร้อมกับถอดเสื้อของตนเพื่อใช้สะบัดพัดให้ผู้เป็นพ่อ
ไอ้แดงกับไอ้ดำรีบเข้ามาดูอาการลูกพี่ของตนพร้อมกับกล่าวชมไม่ขาดปาก
”ทีแรกผมคิดว่าจะไม่ไหวซะแล้ว โดยเฉพาะเสาต้นสุดท้ายเนี่ยจะยกยังไงคนเดียวไหว สุดยอดเลยลูกพี่ แรงเยอะยังกับคิงคองกอลิลล่าด้วยกันทั้งคู่ ฮ่าๆๆ” ไอ้แดงพูดไปหัวเราะไป
“กูว่าเหมือนยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์มากกว่าว่ะ ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำกล่าวสมทบพร้อมกับทำหน้าตาขึงขังเลียนแบบยักษ์ดูตลกพิกล
“เฮ้ยๆ ถึงกูจะเหนื่อยอยู่แต่ก็ยังพอมีแรงยกขาเตะมึงอยู่นะเว้ยไอ้ดำ” ยอดชายพูดปนหอบหายใจขณะที่แผ่นหลังบึกบึนแกร่งกล้ามของเขากับชาติชายพิงกันแนบชิด
“กูก็ยังมีแรงพอจะเตะมึงได้นะไอ้แดง” ชาติชายกล่าวเสริม
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงลูกน้องคนงานที่มายืนดูการแข่งขันต่างเดินกลับลงจากเขาไปกันซักพักแล้วชาติชายจึงบอกกับชัดชายและไอ้แดงว่า
“พวกมึงลงจากเขาไปก่อนกูมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับไอ้ยอดหน่อย เสร็จแล้วจะตามลงไป”
ประโยคนี้ถึงแม้จะเป็นการบอกกับชัดชายและไอ้แดงแต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการคุยตามลำพังกับยอดชาย ทางด้านชาตรีและไอ้ดำก็มองหน้ายอดชายคล้ายกับจะถามความต้องการของชายหนุ่ม ซึ่งยอดชายก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
“พวกมึงก็ลงไปก่อน เดี๋ยวกูคุยธุระเสร็จจะตามลงไป”
เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่เดินลงจากเขาลับตาไปแล้วชาติชายจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อชะตาฟ้ากำหนดให้มึงกับกูไม่อาจตัดสินชี้ขาดกันด้วยกำลังได้ งั๊นก็ต้องให้ทิพย์เป็นคนตัดสิน!”
“ยังไงวะ?” ยอดชายถามขณะที่แผ่นหลังแกร่งกล้ามเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดกันในลักษณะนั่งเหยียดขาหันหน้าไปคนละด้านเอาหลังพิงกัน
“พรุ่งนี้มึงกับกูไปถามทิพย์ตรงๆเลยว่าจะเลือกใคร?” ชาติชายกล่าวอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา
“เออ ก็ดีเหมือนกัน” ยอดชายกล่าวเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
               ทั้งคู่ขยับหันกายแกร่งมาจับมือกันในลักษณะนั่งอยู่ข้างกันแทนการนั่งเอาหลังชนกันแบบเมื่อครู่ การจับมือถือเป็นการสมัครพร้อมใจว่าหากฝ่ายหญิงเลือกใครก็ตามถือเป็นข้อยุติความขัดแย้ง
           วินาทีที่หันหน้ามาจับมือกัน...ด้วยความดกดำของเส้นหมอยที่โดดเด่นแผ่รอดออกมาจากขอบกางเกงในอยู่ตรงง่ามหว่างขาทำให้แว๊บนึงของสายตาทั้งคู่ต่างสังเกตเห็นว่าหมอยของแต่ละฝ่ายที่ไล่ลามจากใต้สะดือเข้าไปภายในกางเกงในอันขะมุกขะมอมอับกลิ่นเหงื่อนั้นน่าจะมีความรกดกดำพอๆกัน เส้นหมอยแต่ละเส้นที่โผล่ทะลักลอดออกมาดูหนาแข็งหงิกงอและให้ความรู้สึกหยาบสากได้อย่างน่าประหลาดใจ อดคิดต่อไปไม่ได้ว่าภายใต้ผ้ากางเกงในเนื้อหยาบมอซอที่โป่งนูนเป็นห่อหมกปิดบังดงหมอยกับสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายอยู่นั้นหากเปิดออกมาวัดกันจริงๆแล้ว หมอยของใครจะหยาบยาวแข็งสากและรกชัฏกว่ากัน?
               ปกติแล้วผู้ชายด้วยกันย่อมไม่อายแม้ว่าจะต้องแก้ผ้าจนเห็นเครื่องเพศของกันและกันซึ่งทั้งยอดชายและชาติชายต่างก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด หากแต่ระยะเวลาเกือบสองเดือนมานี้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของสองชายหนุ่มเมื่อได้กลิ่นเหงื่อของอีกฝ่ายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ทำให้เมื่อทั้งคู่ต่างรู้สึกตัวว่าสายตาของแต่ละฝ่ายกำลังเผลอมองเส้นขนอันโดดเด่นเป็นสง่าสมชายชาตรีของกันและกันโดยบังเอิญอยู่นั้นกลับทำให้เขาทั้งสองเกิดความรู้สึกกระดากวูบจนยอดชายต้องเป็นฝ่ายหันเหเบี่ยงความสนใจไปที่บทสนทนาแทน...
“กูถามอะไรมึงอย่างได้มั๊ยวะ?” ยอดชายกล่าวเบี่ยงประเด็นแก้ความรู้สึกกระดากเมื่อครู่
ผู้ชายที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันและไม่เคยคิดจะมีมาก่อน อยู่ๆรู้ตัวว่าเผลอมองหมอยกันจนควยเริ่มแข็งตัวขึ้นมาแม้จะแค่ชั่วครู่ก็ต้องชวนให้เกิดความรู้สึกกระดากบ้างเป็นธรรมดา ทางด้านชาติชายก็แกล้งไหลตามน้ำเพราะความกระดากเช่นเดียวกันจึงกล่าวว่า
“ลองถามมากูฟังอยู่”
               “ทำไมถึงไปหลงรักช่อทิพย์ได้ เมียมึงไปไหนวะ?” คำถามนี้ของยอดชายหากเป็นเมื่อหลายวันก่อนคงได้ตะบันหน้ากันอีกยก หากแต่ตอนนี้ความรู้สึกของชาติชายที่ไม่ได้อคติกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนจึงเล่าเหตุการณ์เรื่องเมียตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่า
“กูหย่ากับเมียกูตั้งแต่ที่ไอ้ชัดอายุได้แปดขวบ” แววตาหล่อคมของชาติชายดูหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า...
“มึงคงอยากรู้สาเหตุใช่มั๊ย?...สาเหตุอยู่ที่ทั้งตัวกูและก็เมียกู กูอาจจะผิดที่เป็นผู้ชายที่ขี้เงี่ยนเย็ดเมียบ่อยจนเมียทนไม่ได้ปัญหาเตียงหักรักไม่ลงตัวจากความต้องการที่ไม่ตรงกันก็เลยตามมา ส่วนเมียกูหลังๆก็เริ่มติดพนันงอมแงมจนไม่สนใจลูกและที่ทำให้กูสุดจะทนก็คือ...” ชาติชายเว้นจังหวะเล็กน้อยเหมือนกำลังสะกดข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ก่อนจะพูดต่อ...
“เมียกูยอมพลีกายให้ชายอื่นเพื่อล้างหนี้พนัน” สิ้นคำบอกเล่าของชาติชายบรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท ทั้งคู่ไม่มีใครกล่าวอะไรต่อ ยอดชายรับรู้ได้ถึงความอัดอั้นในหัวใจของอีกฝ่ายเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายย่อมเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกันได้ดี ความเงียบงันเข้าปกคลุมจนผ่านไปครู่ใหญ่ ยอดชายจึงทำลายความเงียบชวนอึดอัดด้วยการถามว่า...
“เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยมึงถึงเกลียดการพนันและสั่งไม่ให้ลูกน้องเล่นการพนันให้มึงเห็น? มิน่ากูมาที่นี่ไม่เห็นมีวงไฮโล วงไพ่ ปกติทุกๆที่ ที่กูไปคุมงานต้องมีวงไพ่วงไฮโลให้เห็นตลอด”
ชาติชายไม่ได้ตอบคำถามแต่นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
“จนกระทั่งกูมาเจอกับทิพย์ เกือบปีได้ ทิพย์เป็นผู้หญิงสวยเอาใจเก่งและกูก็ชอบทิพย์มาก กูขอมีลูกกับทิพย์ก่อนที่มึงจะมาอยู่ที่นี่ กูคิดว่าถ้ากูมีลูกกับทิพย์จะได้เอาทิพย์ออกมาอยู่ด้วยกันซักทีแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทิพย์จะท้องกับกู จนกระทั่งมึงเข้ามา” ชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ
“ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมเสือกมายุ่งกับทิพย์ของกู เมียมึงไปไหนวะ?” สีหน้าของชาติชายที่ดูหม่นลงเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนยอดชายที่ถูกย้อนถามกลับด้วยคำถามเดียวกันสีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชาเฉกเดิมก่อนจะเล่าเรื่องเมียของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“กูกับแม่ไอ้ตรีเรารู้จักกันตั้งแต่ที่กูพึ่งอายุได้ยี่สิบ กูทำงานก่อสร้างหาเลี้ยงตัวเองส่วนแม่ไอ้ตรีก็กำลังอยู่ในวัยเรียน แม่ไอ้ตรีเค้าเป็นลูกคุณหญิงแต่บังเอิญมาเจอกัน...มึงคงเดาเรื่องราวต่อได้” ยอดชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“มึงเลยโดนยัยคุณหญิงนั่นกีดกันความรัก?” ชาติชายเดาราวกับยิงธนูตรงเป้า
“แม่ไอ้ตรีหนีตามกูมา เรามีอะไรกันจนมีไอ้ตรี"
'ก็มึงหล่อเข้มซะขนาดนี้ ถ้าจะมีผู้หญิงใจแตกหนีตามมึงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร' ชาติชายคิดในใจขณะที่ฟังอีกฝ่ายเล่าต่อ
"ตอนนั้นกูยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรซักอย่าง คุณหญิงเค้าไม่ยอมรับกูกับลูกมิหนำซ้ำยังโกรธจนไม่ยอมให้ลูกสาวของตัวเองเข้าบ้านอีก กูกับเมียกัดก้อนเกลือกินกันมาจนไอ้ตรีอายุเกือบห้าขวบ สุดท้ายเมียกูเค้าก็ทนไม่ไหวทั้งในเรื่องความขี้เงี่ยนมีอารมณ์บ่อยของกูและความลำบากที่ต้องช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงตัวเองเพราะเมียกูเค้าไม่เคยลำบากมากก่อนก็เลยเลือกกลับไปขอขมาคุณหญิง เวลาผ่านมาหลายปีความโกรธของคนเป็นแม่ก็เริ่มจางลงจนคุณหญิงยอมรับเพียงลูกสาวกลับเข้าบ้านอีกครั้งแต่คุณหญิงก็ยังไม่ยอมรับกูกับลูกอยู่ดีเพราะหาว่ากูไปทำให้วงศ์ตระกูลอันสูงส่งต้องแปดเปื้อน สุดท้ายคุณหญิงก็เลยเอาลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำยกให้เสี่ยคนนึงไปด้วยความเต็มใจของเมียกูเอง” ยอดชายเล่าด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาหม่นทอดยาวออกไปเบื้องหน้าราวกับชายหนุ่มไร้ความรู้สึก ทว่าลูกผู้ชายด้วยกันมีหรือจะปิดบังความรู้สึกกันได้ง่ายดายเพียงนั้น ชาติชายสัมผัสรับรู้ได้ถึงความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในดวงตาหล่อเข้มเย็นชาตรงหน้าหากแต่พอนานวันเข้าจากความเจ็บปวดจึงกลายเป็นความชาชินปิดกั้นความรู้สึกทั้งปวงไว้ภายในราวกับกำแพงเหล็ก
“มึงก็เลยเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงไอ้ตรีคนเดียวมาจนถึงตอนนี้?” ชาติชายสรุป
ความเงียบงันของบรรยากาศรอบตัวเข้าห่อหุ้มชายหนุ่มทั้งสองเอาไว้ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งคู่รับฟังเรื่องราวของกันและกันในใจนึกชมความเข้มแข็งของอีกฝ่าย อีกประการคือความเห็นใจซึ่งกันและกันหากแต่ไม่ได้แสดงออกใดๆให้อีกฝ่ายรับรู้แม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแสงอัศดงเรื่อเรืองด้านทิศประจิมเริ่มจางหาย ชาติชายจึงพูดขึ้นว่า...
“กลับห้องพักกันดีกว่าว่ะ” ชาติชายขยับลุกขึ้น แต่สองขาล่ำกล้ามที่ใช้แรงอย่างหนักมากว่าสี่ชั่วโมงเต็มจนอ่อนล้าคล้ายถูกถ่วงด้วยพะเนินเหล็กไม่ฟังคำสั่ง ขณะที่ลุกขึ้นยืนชาติชายเกือบเซล้มลง ดีที่ยอดชายช่วยพยุงไว้ทัน ซึ่งยอดชายเองก็มีสภาพไม่ต่างจากอีกฝ่าย ทั้งคู่จึงต้องช่วยพยุงกันและกันด้วยการกอดคอกันเดินลงจากเขาในสภาพทุลักทุเลยิ่ง ระหว่างทางที่กอดคอกันลงจากเขาทั้งคู่ต่างสูดได้กลิ่นตัวอับเหงื่อของกันและกัน...กลิ่นเหงื่อที่ผสมกันอย่างลงตัวจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครรู้เพียงแต่กลิ่นอับแบบนี้สามารถทำให้เลือดอุ่นๆในกายของลูกผู้ชายด้วยกันฉีดพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจได้อย่างประหลาดล้ำหากแต่ทั้งคู่จะยิ่งต้องประหลาดใจกับภาพในอดีตชาติของพวกเขาที่กำลังจะเกิดขึ้นให้เห็นอีกครั้งในค่ำคืนนี้...To be continued.

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 9 - ข้อตกลงระหว่างลูกผู้ชาย


“ไอ้ตรี...มึงหลับยังวะ?”
               ชาตรีพลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางต้นเสียงที่อยู่ข้างๆ เกือบหลับแล้วว่ะ มึงมีอะไรวะ?เสียงกระซิบตอบของชาตรีแผ่วเบาไม่ต่างจากอีกฝ่าย
               มึงว่าพ่อมึงกับพ่อกูจะคืนดีกันได้มั๊ยวะ?
               กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่พ่อมึงช่วยชีวิตกูไว้ ยังไงกูก็ต้องทำให้พ่อมึงกับพ่อกูเป็นเพื่อนกันให้ได้ เหมือนมึงกับกูที่เป็นเพื่อนกันชาตรีตอบด้วยความรู้สึกภายในใจ
               พ่อมึงก็ช่วยชีวิตกูไว้เหมือนกัน งั๊นงานนี้มึงกับกูต้องช่วยกันประสานรอยร้าวให้พ่อพวกเราคืนดีกันให้ได้แล้วว่ะ
               เด็กหนุ่มทั้งคู่ชนหมัดกันเบาๆในความมืดคล้ายเป็นสัญลักษณ์ระหว่างลูกผู้ชายว่าจะร่วมมือกันทำภารกิจประสานรอยร้าวระหว่างพ่อของพวกตนให้ได้ไม่ว่าจะยากเพียงใดก็ตาม
               ถึงแม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ภายใต้บรรยากาศรอบห้องที่เงียบสงัดกลับทำให้ทั้งชาติชายและยอดชายที่นอนควยแข็งโด่ในความมืดล้วนได้ยินคำสนทนากันระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างถนัดชัดเจนเพียงแต่ยังคงแสร้งนอนเฉยอยู่บนเตียงทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด ตลอดเวลาเกือบสองเดือนมานี้ยอดชายกับชาติชายต้องนอนควยแข็งกันทุกคืนเพราะสาเหตุเดิมๆที่ต้องเจออยู่ทุกวันนั่นคือกลิ่นตัวของเขาทั้งคู่ที่ผสมกันภายในห้องจนเกิดเป็นยาปลุกเซ็กส์ตามธรรมชาติและก็เพราะความรู้สึกทรมานเช่นนี้จึงทำให้ภายในจิตสำนึกของชาติชายสร้างอคติขึ้นมาต่อต้านจนมีเรื่องกับยอดชายอยู่บ่อยๆ หากแต่ว่าวันนี้อคติภายในใจที่คล้ายเป็นกำแพงกั้นความรู้สึกชอบอีกฝ่ายกลับถูกทำลายลงจากเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าผ่านปากบุตรชายของตนเองเหลือไว้เพียงความกังวลกับคำถามที่ยังรอคอยคำตอบ...ชายรักชายมันจะเป็นไปได้ยังไงวะ?คำถามซ้ำซากที่เกิดขึ้นในใจของยอดชายและชาติชายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาเพราะคนในสังคมสมัยนั้นยังมองว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันคือสิ่งผิดปกติผิดธรรมชาติซึ่งชายหนุ่มทั้งคู่ต่างก็เชื่อเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่มาตลอด หากแต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เชื่อมาตลอดทั้งชีวิตย่อมต้องสร้างความรู้สึกสับสนเป็นกังวลให้กับเขาทั้งคู่เป็นธรรมดาและยิ่งยากจะให้ทำใจยอมรับได้ในระยะเวลาอันสั้น ใครบ้างจะเข้าใจและล่วงรู้ว่าสาเหตุที่ชายหนุ่มทั้งคู่มีปัญหากันก็เพราะปมนี้เป็นเหตุ ความคิดว่ายวนในห้วงสมองของทั้งคู่จนในที่สุดจากความเหนื่อยล้าที่ใช้แรงมาตลอดทั้งวันสติจึงเริ่มเลือนลางค่อยๆคืบคลานสู่ห้วงนิทราในที่สุด

               ชาติชายตื่นนอนก่อนคนทั้งสาม ชายหนุ่มนั่งทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานความจริงเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลเพียงแต่ด้วยความเลือดร้อนจึงทำให้ขาดสติพอได้นั่งคิดทบทวนก็เห็นว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องจะอย่างไรเมื่อทำผิดไปแล้วก็ต้องแก้ไขและรับผิดชอบ ลูกผู้ชายย่อมกล้าทำกล้ารับส่วนเรื่องจะตัดสินแพ้ชนะกับยอดชายยังไงต้องเกิดขึ้นแน่เพียงแต่ตอนนี้ยังคิดหาวิธีที่เหมาะสมไม่ได้ชายหนุ่มจึงลุกจากเตียงไปล้างตัวใส่เสื้อเปลี่ยนกางเกงให้กลิ่นอับเหงื่อของตนเองจางลงเพื่อเตรียมประชุมงานเช้านี้

               รถยนต์หรูขับมาจอดในลานกว้างหน้าที่พักคนงาน เสี่ยป้อ...ชายร่างท้วมพุงพลุ้ยผิวขาววัยห้าสิบปลายๆที่นั่งอยู่เบาะหลังก้าวลงจากรถโดยมีคนขับลงมาทำหน้าที่เปิดประตูให้ซึ่งก็เป็นเวลาเก้าโมงเช้าพอดี คนงานทุกคนรวมทั้งชาติชายกับยอดชายออกมาต้อนรับผู้เป็นนายกันพร้อมหน้า ที่ประชุมก็คือห้องสำหรับต้อนรับแขกที่จะเข้ามาใช้บริการเมื่อโครงการบ้านพักตากอากาศสร้างเสร็จ เสี่ยป้อนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะโดยมียอดชายกับชาติชายนั่งอยู่ด้านซ้ายและขวาตามด้วยไอ้แดงและไอ้ดำที่นั่งถัดจากลูกพี่ของพวกมัน เสี่ยป้อมองดูหน้าตาลูกน้องของตนพร้อมกับขมวดคิ้วซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีขนคิ้วเหลือซักเท่าไหร่แถมยังเป็นสีขาวเกือบหมดพร้อมกับถามขึ้นว่า
               ทำไมหน้าตาลื้อสองคนถึงฟกช้ำแดงเป็นจ้ำๆกันแบบนี้วะ คนนึงปากแตก อีกคนก็คิ้วแตก พวกลื้อไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ?ซึ่งเสี่ยป้อก็พอจะเดาคำตอบได้ว่า...
หรือพวกมึงฟัดกันเอง?
               ไอ้ดำกับไอ้แดงก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเสี่ยเพราะกลัวโดนเค้นถาม ทางด้านยอดชายกับชาติชายซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดีก็มองหน้ากันไม่พูดอะไรซึ่งก็ถือเป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง
               ไอ้หยา! พวกลื้อเป็นหัวหน้างานทั้งคู่แต่มาฟัดกันเองแบบนี้ไม่เสียการปกครองลูกน้องหมดเหรอวะ อีกหน่อยถ้าพวกลูกน้องมันมีเรื่องกันพวกลื้อจะห้ามยังไง? ลูกพี่แม่งยังฟัดกันเองแบบนี้
               ขอโทษครับเสี่ยผู้ถูกตำหนิต่างค้อมศีรษะกล่าวคำขอโทษผู้เป็นนายอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเงยหน้ามาสบตากัน
               ต่อไปผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกชาติชายให้คำมั่นขณะที่คลองจักษุยังประสานกันกับคู่กรณี พลันก็มีลูกน้องคนงานเดินเข้ามาในที่ประชุมบอกเสี่ยป้อว่ารถที่จะใช้ยกเสาไม้สักทองยี่สิบเอ็ดต้นขึ้นไปบนเขาพรุ่งนี้เพื่อใช้ทำโครงบ้านพักเกิดขัดข้องกระทันหัน
               อะไรกันวะ?เสี่ยป้อรู้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะรถยกที่ใช้งานมาหลายสิบปีตั้งแต่ชาติชายยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับตนถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนคันใหม่เพราะซ่อมมาหลายครั้งมากแล้ว จู่ๆยอดชายที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
               ไม่เป็นไรครับเสี่ย ผมกับไอ้ชาติจะเป็นคนยกเสาไม้สักทั้งยี่สิบเอ็ดต้นขึ้นไปบนเขาเอง!” คำพูดนี้ทำเอาไอ้ดำกับไอ้แดงรวมทั้งคนงานที่เข้ามารายงานว่ารถยกเสียถึงกับสะดุ้งวาบมองหน้ากันด้วยความตกใจเพราะไม้สักทองที่จะใช้ทำโครงบ้านแต่ละต้นล้วนมีน้ำหนักเกือบสามร้อยกิโลแถมยังมีไม้สักต้นที่ใหญ่ที่สุดอีกหนึ่งต้นซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าห้าร้อยกิโล! เสี่ยป้อก็ถึงกับตาโตในคำกล่าวของยอดชายมีเพียงชาติชายเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบไม่สะทกสะท้านเพราะเข้าใจจิตเจตนาของยอดชายซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?เสี่ยป้อหันไปถามความเห็นของชาติชาย
ดีเหมือนกันครับเสี่ย รอช่างกว่าจะมาก็ไม่รู้อีกกี่วัน อีกอย่างถือเป็นการลงโทษไม่ให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับลูกน้องที่หัวหน้างานก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเอง พวกผมยินดีทำงานนี้เองพูดจบสายตาของชาติชายก็หันไปสบตากับยอดชาย ความคิดของลูกผู้ชายด้วยกันย่อมสื่อถึงกันได้ผ่านทางแววตา ชาติชายใช้คำว่าพวกผมแทนตัวเองกับยอดชายนั่นเป็นเพราะภายในส่วนลึกของจิตใจอันแข็งแกร่งเริ่มมีเศษเสี้ยวนึงยอมรับนับถือความเป็นลูกผู้ชายในตัวของอีกฝ่ายแล้ว
หลังจากประชุมวางแผนงานกันเสร็จก็ราวเกือบบ่ายโมง เสี่ยป้อจึงออกไปเดินตรวจงานซึ่งงานที่เชิงเขาถือว่าเสร็จสมบูรณ์แบบเหลือแต่งานก่อสร้างบนเขาที่ยอดชายปรับถมหน้าดินเสร็จเรียบร้อยแล้วรอลงเสาทำโครงสร้างต่อไป กว่าเสี่ยป้อจะกลับออกจากแคมป์คนงานก็เกือบสี่โมงเย็นซึ่งยอดชายและชาติชายรวมทั้งไอ้แดงกับไอ้ดำต่างเดินมาส่งผู้เป็นนายกลับขึ้นรถ
ชาติชายมองรถหรูของผู้เป็นนายวิ่งฝุ่นตลบผ่านทางโค้งหายลับตาไปก่อนจะหันมาถามยอดชายอย่างจริงจังว่า
               ที่มึงเสนอเรื่องแบกเสาไม้สักทองขึ้นเขาก็เพื่อจะใช้เป็นหัวข้อการตัดสินระหว่างมึงกับกูใช่มั๊ย?
พรุ่งนี้นับแต่เที่ยงวัน...ใครแบกเสาไม้สักขึ้นไปวางบนเขาได้มากกว่ากันก่อนตะวันลับขอบฟ้า...
ถือเป็นผู้ชนะ!” ประโยคนี้กล่าวออกมาจากปากของชาติชายและยอดชายเกือบจะพร้อมกัน
คนแพ้ต้องหลีกทางให้คนชนะ ห้ามไปข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับทิพย์อีกตลอดไปชาติชายพูดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาตรงหน้าคล้ายกับท่างัดข้อกลางอากาศ ยอดชายก็ยกมือขวาของตนขึ้นประกบกับมือของชาติชาย ถือเป็นการจับมือทำสัญญาข้อตกลงกันระหว่างลูกผู้ชายสองคนที่มีไอ้ดำกับไอ้แดงและเหล่าบรรดาลูกน้องคนงานเป็นสักขีพยาน
ชัดชายกับชาตรีที่พรุ่งนี้ไม่มีชั่วโมงเรียนจึงยังจะอยู่ดูพ่อของตนโชว์พลังความเป็นชายออกมาประลองกันก่อนที่จะกลับพระนครโดยถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สมานรอยร้าวให้กับพ่อของพวกเขา
ซึ่งหลังจากกินข้าวมื้อเย็นกันเสร็จไม่นานยอดชายและชาติชายต่างนอนพักเอาแรงกันแต่หัวค่ำจนถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้นจึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อศึกแห่งศักดิ์ศรีที่กำลังจะปะทุขึ้นในตอนเที่ยง ทั้งยอดชายและชาติชายต่างเริ่มตุนพลังงานลงกระเพาะของตนเป็นระยะๆไม่ว่าจะเป็น ข้าว ถั่ว นม ไข่และเนื้อสัตว์เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยและเริ่มสะสมพลังงานไว้ตามเซลล์มัดกล้ามส่วนต่างๆของร่างกายอย่างเต็มที่ดุจลูกระเบิดที่อัดแน่นทั่วสรรพางค์พร้อมที่จะระเบิดพลังงานออกมาได้ทุกเมื่อจนกระทั่งถึงเวลาสิบโมงข้าวคำสุดท้ายจึงลงกระเพาะไปและน้ำหยดสุดท้ายได้ล่วงผ่านลำคอของทั้งคู่ตอนสิบเอ็ดโมงตรงเพราะพวกเขาทั้งสองต่างรู้ดีว่าระหว่างการแข่งขันไม่มีเวลาให้พักดื่มน้ำหรือสะสมพลังงานอีกแล้ว อีกทั้งการดื่มน้ำระหว่างการออกแรงยังจะทำให้เกิดอาการจุกได้ ซึ่งจะส่งผลต่อชัยชนะดังนั้นทุกอย่างจึงถูกคาดคำนวณไว้อย่างละเอียด
เมื่อสุรีย์ฉายแสงตรงศีรษะท่ามกลางบรรดาคนงานที่มาล้อมวงมุงดูการประลองกำลังกันของสองลูกพี่ตรงทางขึ้นเขาซึ่งมีไม้สักทองวางซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ตรงทางขึ้นพอดี บรรดาคนงานต่างวิจารณ์พูดคุยกันต่างๆนาๆบ้างก็บอกว่าไม้สักหนักขนาดนี้จะยกไหวได้ยังไง? บ้างก็แอบพนันขันต่อกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะโดยไม่ให้ชาติชายรู้
ทันใดนั้นร่างกำยำล่ำบึกผิวขาวของชาติชายก็เดินปรากฎออกจากมุมด้านหนึ่งของบ้านพักคนงานโดยมีร่างกำยำล่ำบึกผิวเข้มของยอดชายเดินปรากฎออกจากมุมอีกด้าน ทั้งคู่ต่างถอดเสื้อมีเพียงกางเกงในเก่าๆสวมปิดบังอวัยวะเพศชายของตนเพียงตัวเดียวเท่านั้น การอัดข้าวซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและเนื้อสัตว์ นม ถั่ว ไข่ซึ่งให้โปรตีนไปเมื่อช่วงเช้าทำให้กล้ามเนื้อของทั้งคู่ดูอัดแน่นตึงฟูไปด้วยมัดกล้ามที่เต่งตึงสง่างามสมบูรณ์แบบราวกับว่ามัดกล้ามแกร่งตามตัวของทั้งสองคนกำลังจะปริแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆก็ไม่ปาน มิหนำซ้ำขนรักแร้ที่ยาวรกดกฟูของทั้งคู่ยังแผ่รอดออกมาจากซอกวงแขนรวมทั้งขนหมอยที่ลามเป็นทางลงไปจากใต้สะดือเข้าไปในขอบกางเกงในแต่รอบๆขาหนีบกลับยังมองเห็นขนหมอยหยาบสากดกดำแผ่แพลมออกมาจากขอบกางเกงในที่โป่งนูนเพราะดงหมอยกับลำควยอยู่ไม่น้อยบ่งบอกถึงความรกชัฏของหมอยลูกผู้ชายของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี คนงานหลายคนถึงกับอ้าปากตกตะลึงในขนาดมัดกล้ามของสองมนุษย์พ่อพันธุ์ที่วันนี้อัดแน่นกันมาเต็มที่ แต่ก่อนที่ชาตรีจะเป็นคนให้สัญญาณเริ่มการแข่งขนย้ายไม้สักทองด้วยสองมือเปล่าเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นว่า...
ผมกับไอ้ชัชปรึกษากันแล้ว ไม่ว่าผลการแข่งขันวันนี้จะออกมาเป็นอย่างไรพวกเราอยากให้พ่อเป็นเพื่อนกันและเลิกทะเลาะกันตลอดไปเหมือนพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าพ่อไม่รับปากผมก็จะไม่ให้สัญญาณ...ได้มั๊ยครับพ่อ?
ยอดชายมองหน้าลูกชายของตนสักครู่คล้ายใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยคำว่า...เออสั้นๆเพียงคำเดียวท่ามกลางเสียงปรบมือของลูกน้องคนงาน
แล้วพ่อล่ะครับ ตกลงมั๊ย?ชัชชายถามผู้เป็นพ่อของตนบ้าง
ชาติชายที่ตอนนี้เริ่มเปิดใจลดทิฐิและอคติที่มีต่อยอดชายลงมากแล้วแต่ก็ยังคงวางฟอร์มจึงตอบแบบเลี่ยงๆโดยย้อนถามว่า
จะเริ่มได้ยัง? ซึ่งผู้เป็นลูกย่อมเข้าใจความหมายว่าพ่อของตนตอบตกลงเงื่อนไขแล้วจึงพยักหน้าให้ชาตรีเพื่อนรักส่งสัญญาณเริ่มการแข่งขันได้!!
ทันทีที่ชาตรีฟันมือลงอันเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน ทั้งยอดชายและชาติชายต่างพุ่งตัวไปยังกองไม้สักทองที่วางสุมกันตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างใช้มืออันหยาบหนาที่ผ่านการตรากตรำทำงานหนักมาทั้งชีวิตดึงท่อนไม้สักที่วางอยู่บนสุดคนละท่อนให้เลื่อนตะแคงลงมาที่พื้นเพื่อให้บ่าข้างนึงของตนพอจะสอดเข้าไปรับน้ำหนักของไม้สักได้จากนั้นทั้งคู่จึงขยับออกทางด้านข้างเพื่อให้ท่อนไม้เลื่อนออกมาจากกองไม้และพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อใหญ่หนาเป็นมัดๆของทั้งคู่ที่ออกแรงต้านรับน้ำหนักท่อนไม้สักทองหลายร้อยกิโลกรัมแตกออกเป็นริ้วเป็นลายจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนพาดผ่านไปมาทั่วร่างทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ลูกผู้ชายทั้งสองคนต่างแข่งกันแบกท่อนไม้สักมุ่งหน้าเดินขึ้นเขาด้วยความทรหดอดทนไม่มีใครยอมใครรอบแล้วรอบเล่าจนเหล่ากองเชียร์ที่เดินตามขึ้นเขาลงเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากันก่อน บ้างก็หยุดนั่งดูระหว่างทาง บ้างก็รอดูอยู่เชิงเขา บ้างก็เดินขึ้นไปรอบนเขาเพื่อดูว่าใครจะชนะโดยที่ไม่เดินตามชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นลงเขาอีกเหมือนช่วงแรกๆเพราะหมดแรง ท่อนไม่สักทองถูกชายหนุ่มหุ่นล่ำทั้งสองคนแข่งกันขนย้ายขึ้นมากองรวมกันบนเขาได้ยี่สิบท่อนแล้วแต่ผลก็ยังเสมอกันอยู่คือขนกันได้คนละสิบท่อน เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายไหลหลั่งอาบชโลมผิวกายหยาบกร้านของทั้งคู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันมะเมื่อมไปทั้งตัว กางเกงในเก่าๆของชายหนุ่มทั้งสองคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากขนรักแร้กับเส้นหมอยอันหยาบสากดกดำล้วนส่งกลิ่นอับเหงื่อโชยชายอยู่รอบกายคนทั้งสอง ยิ่งเดินแบกไม้สักขึ้นเขาหลายรอบแผงอกแน่นกล้ามของชายหนุ่มทั้งคู่ยิ่งสะท้อนขึ้นลงถี่ขึ้น บอกได้ถึงความเหนื่อยหอบที่มากขึ้นตามจำนวนรอบที่ออกแรง ความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องฟันฝ่าเอาชนะกันไม่เพียงแค่น้ำหนักหลายร้อยกิโลที่ต้องแบกรับไว้บนบ่าหากแต่เป็นทางลาดชันขึ้นเขาที่ยิ่งเร่งความเหนื่อยล้าให้มากขึ้นเป็นเท่าทวี ยอดชายและชาติชายเดินลงเขาเพื่อไปยกเสาไม้สักทองต้นสุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้าจนเกือบจะหมดแรงแต่เขาทั้งสองต่างไม่มีใครแสดงความอ่อนแอใดๆออกมาตลอดการแข่งขัน กลุ่มคนงานที่รอเชียร์อยู่เชิงเขาต่างพูดคุยกันเสียงดัง
ท่อนสุดท้ายแล้วโว้ย
ใครจะยกไหววะเนี่ย ท่อนนี้แม่งใหญ่สุด
เมื่อชาติชายและยอดชายเดินลงมาถึงจุดที่ไม้สักทองต้นสุดท้ายวางอยู่ ชาตรีซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินร่วมกับชัดชายจึงพูดว่า...
ตอนนี้ผลการแข่งยังถือว่าเสมอกันอยู่ครับ ไม้สักทองต้นสุดท้าย ใครยกขึ้นไปวางบนเขาได้ ถือว่าเป็นผู้ชนะ
ยอดชายกับชาติชายมองหน้ากันก่อนที่ชาติชายจะชิงพูดขึ้นว่า
กูขอลองก่อนพูดจบชาติชายก็ใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ตอนนี้พยายามขยับยกเสาไม้สักต้นสุดท้ายแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็ทำได้เพียงขยับให้ท่อนไม้สูงจากพื้นได้ไม่กี่คืบเท่านั้น สุดท้ายจึงต้องถอยให้อีกฝ่ายลองบ้าง ซึ่งเมื่อยอดชายลองใช้แรงที่เหลือของตนขยับยกเสาไม้ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างจากอีกฝ่ายคือไม่สามารถยกเสาไม้สักที่มีน้ำหนักเกือบห้าร้อยกิโลขึ้นมาพาดบ่าได้ ขณะที่ยอดชายกำลังพยายามออกแรงแต่ทว่าไม้สักก็ตะแคงสูงเหนือพื้นขึ้นมาได้ไม่กี่คืบนั้น จู่ๆชาติชายที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็สอดมือทั้งสองข้างเข้ามาใต้ท่อนไม้ช่วยยอดชายยกอีกแรง...หากการต่อสู้กันเพียงหวังผลแพ้ชนะแต่ทำให้ไม่สามารถทำงานใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ยังจะมีประโยชน์อันใด? ยังไงต้องขนเสาไม้สักท่อนสุดท้ายนี้ขึ้นไปบนเขาให้ได้ก่อนส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวภายหลัง
ย๊ากกกก!!” ชายหนุ่มทั้งคู่ส่งเสียงออกแรงประสานกันอย่างสุดกำลัง สุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังความแกร่งกร้าวกำยำของบุรุษเพศสองคนดังสะท้านกึกก้องทั่วหุบเขา ไม้สักทองค่อยๆถูกยกสูงมากกว่าเดิมจนทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นจนชาติชายสามารถสอดตัวเข้าไปใต้ท่อนไม้ ยอดชายก็เอาบ่าอันกำยำบึกบึนของเขารองรับไว้ใต้เสาไม้  ในที่สุดเสาไม้สักขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นวางพาดอยู่บนบ่ากำยำล่ำบึ้กของชายทั้งสองคนได้สำเร็จท่ามกลางเสียงเฮและปรบมือดีใจของบรรดากองเชียร์ของทั้งคู่ ชายหนุ่มช่วยกันแบกเสาไม้สักเดินขึ้นเขาทีละก้าวจนกระทั่งบรรลุถึงจุดหมาย ทั่งคู่ค่อยๆย่อตัวทิ้งเสาไม้ลงกับพื้นพร้อมกัน..
ปึกกกก!!’ เสียงทึบแน่นของไม้เนื้อแข็งท่อนสุดท้ายกระแทกลงบนพื้นดินด้วยความร่วมแรงกันของทั้งคู่ซึ่งก็เป็นเวลาเพียงสี่โมงเย็น ทั้งยอดชายและชาติชายต่างทรุดฮวบนั่งลงกับพื้นเพราะใช้เรี่ยวแรงไปจนเกือบหมด แผงอกกว้างหนากำยำสะท้อนขึ้นลงถี่กระชั้นด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อกาฬไหลหลั่งอาบชโลมทั่วร่างจนกางเกงในของทั้งคู่เปียกแฉะ ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่าบรรดากองเชียร์ ชาตรีและชัชชายต่างรีบเข้ามาหาผู้เป็นพ่อของตนพร้อมถามด้วยถ้อยคำแสดงความห่วงใยกตัญญู...
               พ่อเป็นยังไงบ้างครับ?
               ไอ้แดงกับไอ้ดำต่างถอดเสื้อของตัวเองใช้สะบัดพัดให้ผู้เป็นลูกพี่ทั้งสองคนพร้อมกับกล่าวชมไม่ขาดปากถึงแม้ว่าประโยคท้ายจะฟังดูเหมือนไม่คล้ายชมซักเท่าไหร่...
สุดยอดเลยลูกพี่ แรงเยอะยังกับกอลิล่า ฮ่าๆๆไอ้แดงพูดไปหัวเราะไป
กอลิล่ายังน้อยไป กูว่ายักษ์มากกว่า ฮ่าๆๆไอ้ดำกล่าวสมทบพร้อมกับทำหน้าตาขึงขังเลียนแบบยักษ์ดูตลกพิกลแต่มือก็ยังสะบัดพัดไม่หยุด
เฮ้ยๆ ถึงกูจะใช้แรงไปเยอะแต่ก็ยังพอมีแรงเตะมึงอยู่นะเว้ยไอ้ดำยอดชายพูดปนหอบหายใจขณะที่แผ่นหลังบึกบึนแกร่งกล้ามของเขากับชาติชายพิงกันแนบชิด
เออจริง กูก็ยังมีแรงพอจะเตะมึงได้นะไอ้แดง ชาติชายกล่าวเสริม
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงลูกน้องคนงานที่มายืนดูการแข่งขันต่างเดินกลับลงจากเขาไปกันซักพักแล้วชาติชายจึงบอกกับชัชชายและไอ้แดงว่า
พวกมึงลงจากเขาไปก่อนกูมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับไอ้ยอดหน่อย เสร็จแล้วจะตามลงไป
ประโยคนี้ถึงแม้จะเป็นการบอกกับชัชชายและไอ้แดงแต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการคุยตามลำพังกับยอดชาย ทางด้านชาตรีและไอ้ดำก็มองหน้ายอดชายคล้ายกับจะถามความต้องการของชายหนุ่มผิวเข้ม ซึ่งยอดชายก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
พวกมึงก็ลงไปก่อน เดี๋ยวกูคุยธุระเสร็จจะตามลงไป
เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่เดินลงจากเขาลับตาไปแล้วชาติชายจึงเอ่ยขึ้นว่า
ในเมื่อสวรรค์กำหนดให้มึงกับกูไม่อาจตัดสินชี้ขาดกันเองได้ งั๊นก็ต้องให้ทิพย์เป็นคนตัดสิน!
ยังไงวะ? ยอดชายถามขณะที่แผ่นหลังแกร่งกล้ามเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดกันในลักษณะนั่งเหยียดขาเอาหลังพิงกัน
               พรุ่งนี้มึงกับกูไปถามทิพย์ตรงๆเลยว่าจะเลือกใคร?ชาติชายกล่าวอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา
               เออ ก็ดีเหมือนกันยอดชายกล่าวเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
               ทั้งคู่ขยับหันกายแกร่งกล้ามกำยำมาจับมือกันในลักษณะนั่งอยู่ข้างกันแทนการนั่งเอาหลังชนกันแบบเมื่อครู่ การจับมือถือเป็นการสมัครพร้อมใจว่าหากฝ่ายหญิงเลือกใครก็ตามถือเป็นข้อยุติความขัดแย้ง
               ขณะหันมาจับมือกัน...แว๊บนึงของสายตาทั้งคู่ต่างสังเกตเห็นว่าหมอยของอีกฝ่ายที่ไล่ลามจากใต้สะดือเข้าไปภายในกางเกงในอันขะมุกขะมอมอับกลิ่นเหงื่อนั้นมีความรกดกดำพอๆกันกับตนโดยดูจากเส้นหมอยสีดำสนิทแผ่ล้นเป็นเส้นๆออกมาตามขอบผ้าง่ามขาทั้งสองข้าง เส้นหมอยแต่ละเส้นที่โผล่ทะลักลอดออกมาดูหนาแข็งหงิกงอและให้ความรู้สึกหยาบสากอย่างบอกไม่ถูกเพียงแต่ไม่รู้ว่าภายใต้ผ้ากางเกงในสีมอซอที่โป่งนูนปิดบังดงหมอยอยู่นั้นหากเปิดออกมาวัดกันจริงๆแล้ว หมอยใครจะหยาบยาวแข็งสากและรกชัฏกว่ากัน? แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตัดเล็มขนเช่นเดียวกับตนนับเป็นความชอบที่หายากและมาตรงกันโดยบังเอิญ
               เมื่อทั้งคู่ต่างรู้สึกตัวว่าสายตาของแต่ละฝ่ายกำลังมองขนหมอยของกันและกันโดยบังเอิญก็ทำให้ยอดชายต้องหันเหความสนใจไปที่บทสนทนาแทน
               กูถามอะไรมึงอย่างได้มั๊ยวะ?ยอดชายกล่าวเบี่ยงประเด็นแก้ความรู้สึกกระดากเมื่อครู่ที่เผลอมองหมอยกัน ผู้ชายที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันและไม่เคยคิดจะมี อยู่ๆมานั่งมองหมอยกันแม้จะแค่ชั่วครู่ก็ต้องรู้สึกกระดากบ้างเป็นธรรมดา ทางด้านชาติชายก็แกล้งไหลตามน้ำเพราะความกระดากเช่นกันกล่าวว่า
               ลองถามมากูฟังอยู่
               “ทำไมถึงไปหลงรักช่อทิพย์ได้ เมียมึงไปไหนวะ?คำถามนี้ของยอดชายหากเป็นเมื่อหลายวันก่อนคงได้ตะบันหน้ากันอีกยก หากแต่ตอนนี้ความรู้สึกของชาติชายไม่ได้อคติกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนจึงเล่าเหตุการณ์เรื่องเมียตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่า
               กูหย่ากับเมียกูตั้งแต่ที่ไอ้ชัชอายุได้แปดขวบแววตาของชาติชายดูหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า...
               มึงคงอยากรู้สาเหตุใช่มั๊ย? สาเหตุอยู่ที่ทั้งตัวกูและก็เมียกู กูอาจจะผิดที่เป็นผู้ชายที่ขี้เงี่ยนเย็ดเมียบ่อยจนเมียทนไม่ได้ปัญหาเตียงหักรักไม่ลงตัวก็เลยตามมา ส่วนเมียกูหลังๆก็เริ่มติดพนันงอมแงมจนไม่สนใจลูกและที่ทำให้กูสุดจะทนก็คือ...ชาติชายเว้นจังหวะเล็กน้อยเหมือนกำลังสะกดข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ก่อนจะพูดต่อ...
               เมียกูยอมพลีกายให้ชายอื่นเพื่อล้างหนี้พนันสิ้นคำบอกเล่าของชาติชายบรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท ทั้งคู่ไม่มีใครกล่าวอะไรต่อ ยอดชายรับรู้ได้ถึงความอัดอั้นในหัวใจของอีกฝ่ายเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายย่อมเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกันได้ดี ความเงียบงันเข้าปกคลุมจนผ่านไปครู่ใหญ่ ยอดชายจึงทำลายความเงียบชวนอึดอัดด้วยการถามว่า...
เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยมึงถึงเกลียดการพนันและสั่งไม่ให้ลูกน้องเล่นการพนันให้มึงเห็น? มิน่ากูมาที่นี่ไม่เห็นมีวงไฮโล วงไพ่ ปกติทุกที่ๆกูไปคุมงานต้องมีให้เห็นตลอด
ชาติชายไม่ได้ตอบคำถามแต่นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
               จนกระทั่งกูมาเจอกับทิพย์ เกือบปีได้ ทิพย์เป็นผู้หญิงสวยเอาใจเก่งและกูก็ชอบทิพย์มาก กูขอมีลูกกับทิพย์ก่อนที่มึงจะมาอยู่ที่นี่ กูคิดว่าถ้ากูมีลูกกับทิพย์จะได้เอาทิพย์ออกมาอยู่ด้วยกันซักทีแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทิพย์จะท้องกับกู จนกระทั่งมึงเข้ามาชาติชายหันไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ
               ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมเสือกมายุ่งกับทิพย์ของกู เมียมึงไปไหนวะ?สีหน้าของชาติชายที่ดูหม่นลงเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนยอดชายที่ถูกย้อนถามกลับด้วยคำถามเดียวกันสีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชาเฉกเดิมก่อนจะเล่าเรื่องเมียของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
               กูกับแม่ไอ้ตรีเรารู้จักกันสมัยเรียน แม่ไอ้ตรีเค้าเป็นลูกคุณหญิงเราเรียนอยู่ต่างโรงเรียนแต่บังเอิญมาเจอกัน...มึงคงเดาเรื่องราวต่อได้ ยอดชายหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
               มึงเลยโดนยัยคุณหญิงนั่นกีดกันความรัก?ชาติชายเดาเหมือนยิงธนูตรงเป้า
               แม่ไอ้ตรีหนีตามกูมา เรามีอะไรกันจนมีไอ้ตรี ตอนนั้นกูยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรซักอย่าง คุณหญิงเค้าไม่ยอมรับกูกับลูกและตอนแรกแม้แต่แม่ไอ้ตรีที่เป็นลูกสาวของคุณหญิงเองก็ไม่ยอมให้เข้าบ้านเพราะกลัวเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล กูกับเมียกัดก้อนเกลือกินกันมาจนไอ้ตรีอายุเกือบห้าขวบ สุดท้ายเมียกูเค้าก็ทนไม่ไหวทั้งในเรื่องความขี้เงี่ยนมีอารมณ์บ่อยของกูและความลำบากที่ต้องช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงตัวเองเพราะเมียกูเค้าไม่เคยลำบากมากก่อนก็เลยเลือกกลับไปขอขมาคุณหญิง เวลาผ่านมาหลายปีความโกรธของคนเป็นแม่ก็เริ่มจางลงจนคุณหญิงยอมรับเพียงลูกสาวกลับเข้าบ้านอีกครั้งแต่คุณหญิงก็ยังไม่ยอมรับกูกับลูกเพราะหาว่ากูไปทำให้วงศ์ตระกูลอันสูงส่งต้องแปดเปื้อน สุดท้ายคุณหญิงก็เลยเอาลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำยกให้เสี่ยคนนึงไปด้วยความเต็มใจของเมียกูเองยอดชายเล่าด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาหม่นทอดยาวออกไปเบื้องหน้าราวกับชายหนุ่มไร้ความรู้สึก ทว่าลูกผู้ชายด้วยกันมีหรือจะปิดบังความรู้สึกกันได้ง่ายดายเพียงนั้น ชาติชายรับรู้ได้ถึงความปวดร้าวเหงาลึกในหัวใจของอีกฝ่ายหากแต่พอนานวันเข้าจากความเจ็บปวดจึงกลายเป็นความชาชินปิดกั้นความรู้สึกทั้งปวงไว้ภายในราวกับกำแพงเหล็ก
               มึงก็เลยเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงไอ้ตรีคนเดียวมาจนถึงตอนนี้?ชาติชายสรุป

ความเงียบงันของบรรยากาศรอบตัวเข้าห่อหุ้มชายหนุ่มทั้งคู่เอาไว้ด้วยกันอีกครั้ง เขาทั้งคู่ต่างรู้สึกเหมือนกัน...ประการนั้นคือความเห็นใจซึ่งกันและกันหากแต่ไม่ได้แสดงออกใดๆให้อีกฝ่ายรับรู้แม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแสงสุดท้ายแห่งทิวาเริ่มจางหาย ชาติชายจึงพูดขึ้นว่า...
               กลับห้องพักกันดีกว่าว่ะชาติชายขยับลุกขึ้น แต่ขาล่ำกล้ามที่ใช้แรงอย่างหนักมาเกือบสี่ชั่วโมงเต็มจนอ่อนล้าคล้ายไม่ฟังคำสั่ง ขณะที่ลึกขึ้นยืนชาติชายเกือบเซล้มลงดีที่ยอดชายช่วยพยุงไว้ทัน ซึ่งยอดชายเองก็มีสภาพไม่ต่างจากอีกฝ่าย ทั้งคู่จึงต้องช่วยพยุงกันและกันด้วยการกอดคอกันเดินลงจากเขา ระหว่างทางที่กอดคอกันลงจากเขาทั้งคู่ต่างสูดได้กลิ่นตัวอับเหงื่อของกันและกัน...กลิ่นเหงื่อที่ผสมกันอย่างลงตัวจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครรู้เพียงแต่กลิ่นแบบนี้สามารถทำให้เลือดอุ่นๆในกายของลูกผู้ชายด้วยกันฉีดพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจได้อย่างน่าประหลาดแต่สิ่งที่จะทำให้ทั้งคู่ยิ่งต้องประหลาดใจกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้...To be continued.