วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 6 - ประสานงา

ชาติชายงัวเงียตื่นนอนตอนเจ็ดโมงครึ่งจมูกโด่งเป็นสันสูดได้กลิ่นอับเหงื่อของตนที่ผสมเข้ากับกลิ่นเหม็นเหงื่อของยอดชายมาตลอดทั้งคืนจนแยกไม่ออกแล้วว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใคร บุรุษผิวขาวลุกขึ้นนั่งพลันรู้สึกกระสันเงี่ยนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกไม่ต่างจากที่ยอดชายรู้สึกเมื่อเช้าแม้แต่น้อย...กลิ่นที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตแต่กลับทำให้เขามีความสุขสดชื่นได้อย่างประหลาด ชายหนุ่มรู้สึกว่าเลือดลมในตัวพลุ่งพล่านสูบฉีดซึ่งตัวเขาเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน ชาติชายหันไปมองเตียงไม้ทางซ้ายมือของตนหากแต่ไม่พบตัวเจ้าของส่วนผสมกลิ่นอับเหงื่อแมนๆอีกครึ่งที่เหลือ...มีเพียงเตียงที่ว่างเปล่าเท่านั้น กลิ่นอับเหงื่อที่เข้ากันภายในห้องทำให้ชาติชายรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจยิ่งกว่ายามที่สูดดมกลิ่นกายของสตรีเพศอย่างเทียบไม่ติดสร้างความแปลกใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งสูดดมก็ยิ่งฮึกเหิม ชาติชายพยายามสะกดระงับอารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน ทันทีที่สองมือใหญ่หยาบของชายหนุ่มค่อยๆดึงขอบกางเกงของตนออกดูอาวุธประจำกายของบุรุษเพศที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด...ภาพที่ปรากฏตรงหน้าถึงกับทำให้ชาติชายสบถเสียงหลงด้วยอาการตกใจ...
“เหี้ยยยย!”...หัวควยถอกบานแดงคล้ำของเขาขยายพองตัวพร้อมรบเต็มอัตราศึก!
ชายหนุ่มไม่ได้ตกใจที่ควยตัวเองแข็งเพราะมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายหากแต่ตกใจที่ต้นเหตุของการแข็งตัวนั้นต่างหาก...กลิ่นกายบุรุษเพศที่ผสมกันอยู่ในห้องคือสาเหตุ! ชาติชายไม่อยากเชื่อว่าสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายของตนที่ใช้พิชิตสตรีมาตลอดทั้งชีวิตแต่บัดนี้กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นตัวของบุรุษเพศเดียวกัน! นับเป็นสิ่งที่เขายากจะทำใจให้เชื่อได้แต่หลักฐานตรงหน้าที่แข็งโด่เป็นลำนั้นก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน หลังจากที่พยายามอยู่นานที่จะสะกดข่มความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้แต่กลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย...ทุกประการล้วนเป็นเช่นเดียวกับที่ยอดชายเผชิญเมื่อเช้าไม่ผิดเพี้ยน ในความร้อนรุ่มใจราวดั่งไฟลนกับความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยเกิดกับตนเองมาก่อนเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าตระหนกสำหรับลูกผู้ชายอกสามศอกเป็นธรรมดา หากท้ายสุดในจิตใต้สำนึกจึงพยายามสร้างอีกความรู้สึกขึ้นมาหักล้าง...‘ทำยังไงก้ได้ให้รู้สึกเกลียดแม่ง!’...’อคติ’ คือคำตอบเพียงทางเดียวที่กระซิบบอกในจิตสำนึกของชายหนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว อคติจะเป็นความรู้สึกเดียวที่พอจะต่อกรสกัดกั้นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้...ในสมัยนั้นความรักระหว่างเพศเดียวกันยังถูกจำกัดอยู่มากในความรู้สึกของชาติชายจึงคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและยิ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นกับตนเองไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม
ชาติชายรีบลุกจากเตียงทั้งๆที่ควยยังคงแข็งโด่ตั้งเป็นลำซึ่งเขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจกับความรู้สึกที่กำลังเผชิญอยู่ ชายหนุ่มเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำโดยไม่ได้ใช้สบู่ขัดถูใดๆต่างจากเวลาจะต้องออกไปโรงน้ำชาท้ายหมู่บ้านที่เขาจะพิถีพิถันถูด้วยสบู่หลายครั้งและยังต้องยกแขนล่ำกล้ามขึ้นสูงเพื่อดมใต้ซอกรักแร้ดกขนของตนเองจนแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นอับสาบเหงื่อแห่งความเป็นชายหลงเหลือจึงค่อยคลายกังวลออกไปหาหญิงสาว เขาต้องการทำให้ช่อทิพย์ประทับใจมากที่สุดถึงแม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองที่ต้องทำตัวสำอางราวกับสตรีเพศก็ตามเพราะในโลกนี้จะมีสตรีที่ไหนชอบกลิ่นอับเหงื่อเหม็นสาบของบุรุษนอกจากบุรุษบางคนที่ชอบความดิบเถื่อนแมนๆเหมือนกันเท่านั้น...หากบัดนี้ดูเหมือนว่าสวรรค์ได้ชักนำบุรุษหนุ่มสองคนที่มีความชอบหลายๆอย่างที่เหมือนกันให้ได้มาอาศัยอยู่ห้องเดียวกัน ห้องพักส่วนตัวเชิงเขาของหัวหน้าคนงานก่อสร้างจึงเปรียบเสมือน ’ห้องแห่งความลับ’ ในการผสมกลิ่นอับแห่งความเป็นชายของทั้งคู่โดยที่ไม่มีลูกน้องคนไหนล่วงรู้เพราะพวกเขาทั้งคู่ย่อมไม่แพร่งพรายความลับอันแมนเถื่อนนี้ต่อบุคคลภายนอกอย่างแน่นอน
ชาติชายเดินออกมาจากที่พักโดยสวมเสื้อแขนสั้นสีเข้มเก่าๆคอวีโชว์กล้ามอกนูนหนาเข้ากันกับกางเกงยีนส์ขายาวรัดรูปที่มีรอยขาดบริเวณหัวเข่าและกระเป๋ากางเกงเมื่อใส่กับรองเท้าหนังหัวเหล็กยิ่งขับเน้นความเท่เถื่อนกำยำของบุรุษผิวขาวให้ยิ่งโดดเด่น ชายหนุ่มรอจนควยที่แข็งตุงของตนซึ่งดันจนเป้ากางเกงโป่งนูนมีอาการสงบลงก่อนจึงมองหาไอ้แดง... ลูกน้องที่เขามักชอบใช้ให้ช่วยงานเป็นประจำซึ่งมักจะตื่นแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมสิ่งของเครื่องมือต่างๆสำหรับการทำงานในทุกวันแต่ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นแม้เงา
‘ไอ้แดงมันไปไหนของมันวะ?’ ชาติชายคิดในใจพร้อมกับเดินเข้าไปถามคนงานคนนึงที่กำลังขะมักเขม้นปอกสายไฟอยู่
“เฮ้ย..มึงเห็นไอ้แดงมั้ย เช้านี้มันหายหัวไปไหนวะ?”
“มันขึ้นไปช่วยลูกพี่ยอดชายถมดินบนเขาโน่นตั้งแต่เจ็ดโมงกว่าแล้วครับ”
ชื่อของผู้ที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกแปลกๆตอนตื่นนอนเมื่อเช้าผ่านกระทบโสต...ใบหน้าหล่อเข้มของคนที่เป็นต้นเหตุทั้งปวงปรากฏขึ้นในสมองหากแต่จิตสำนึกพลันกระตุ้นเตือนให้ต่อมอคติทำงานอัตโนมัติ...
คำว่า “ลูกพี่ยอดชาย” จากปากของคนงานวัยสามสิบทำให้ชาติชายรู้สึกว่ายอดชายกำลังเข้ามาแทนที่ตนเองแถมยังเอาลูกน้องคนสนิทที่เขาจะใช้งานเดินสายไฟไปใช้ถมดินตามอำเภอใจโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว จึงยิ่งทำให้ชาติชายรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจจนคิ้วคมเข้มขมวดมุ่น
“ใครใช้ให้มันเอาลูกน้องของกูโดยเฉพาะไอ้แดงไปใช้งานโดยไม่บอกกูก่อนวะ?” ชาติชายพูดด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจังจนอีกฝ่ายที่ไม่รู้เรื่องถึงกับหน้าถอดสี
“เอ่อ..คือ..สงสัยลูกพี่ยอดชายคงไม่รู้ว่า...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคก็ถูกชาติชายพูดแทรกขึ้นด้วยความโกรธ
“ถ้ามึงเรียกมันว่า ‘ลูกพี่’ อีกคำเดียว ก็ไม่ต้องมานับถือกูเป็นลูกพี่มึงอีกต่อไป!” ชาติชายพูดด้วยท่าทางจริงจังเด็ดขาด
“ครับ...” คนงานวัยสามสิบทำตัวไม่ถูกได้แต่รับคำด้วยความลนลาน
“อีกเรื่องนึง...วันนี้ตอนบ่าย หลังแดกข้าวกันเสร็จมึงบอกคนงานที่เหลือให้ตามกูมา กูจะเคลียร์ปัญหากับมันด้วยตัวกูเอง!” ชาติชายใช้คำว่า “มัน” ซึ่งคนฟังก็เข้าใจได้ว่าย่อมหมายถึงยอดชายหากแต่ไม่รู้ว่าลูกพี่ทั้งสองคนเกิดปัญหาอะไรกัน?

แสงกล้าแห่งตะวันขับไล่หมอกยามเช้าจนสลายคลายสิ้น ตลอดช่วงเช้าทุกคนต่างทำงานออกแรงกันจนเหงื่อท่วมทั้งแบกของ ขุดดิน ต่อระบบท่อกับสายไฟ ตัดเหล็ก ตอกตะปูสารพัดงานช่างประเดประดังทั้งเชิงเขาและบนเขาเหตุการณ์ดูเป็นปกติคล้ายกับลมที่สงบก่อนพายุจะมาจนกระทั่งถึงช่วงพักเที่ยง...พ่อครัวยกหม้อข้าวและหม้อกับข้าวที่ยังร้อนๆออกมาวางไว้เตรียมตักให้กับพวกคนงานที่ทยอยกันมาพักกินข้าว...
ยอดชายที่ถอดเสื้อจนทำให้มองเห็นมัดกล้ามใหญ่หนาของเขามันวาวระยับสะท้อนกับแสงแดดเพราะเหงื่อท่วมตัวจากการใช้แรงงานกำลังเดินนำหน้าฝูงชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนลงมาจากเขาเพื่อพักกินข้าวกลางวันกัน สิ่งที่ผิดปกติคือบรรดาคนงานที่ทำงานอยู่ที่เชิงเขาไม่มีใครกล้าพูดคุยอะไรกัน สายตาแต่ละคนที่มองยอดชายก็ดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ยอดชายเองก็พอสังเกตออกแต่แรกถึงความผิดปกติแต่ขบคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นเพียงแต่ยังคงทำเป็นนิ่งเฉยตามนิสัยส่วนตัวของผู้ชายมาดเข้มที่พูดน้อยต่อยหนักพร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ จนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จก็เกือบบ่าย...ยอดชายเตรียมตัวจะพาคนงานขึ้นไปถมหน้าดินบนเขาต่อแต่ขณะที่เดินนำหน้าเหล่าบรรดาคนงานไปถึงทางขึ้นเขา พลันปรากฏเสียงทุ้มหากแต่แฝงพลังกล้าแข็งดุดันคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังราวกับเสียงอสุนีบาต...

“มึงจะขึ้นไปถมดินหรือทำเหี้ยอะไรก็ไปแต่ไม่มีสิทธิ์เอาลูกน้องกูไปใช้งานโดยที่กูไม่ได้อนุญาต!” ชาติชายที่ยืนจังก้าห่างออกไปราวสิบเมตรพูดด้วยแววตาดุดันกรามขบแน่นจนนูนเป็นสันทั้งสองข้างด้วยความไม่พอใจ ร่างผิวขาวท่อนบนเปลือยเปล่าของเขาประดับด้วยมัดกล้ามแกร่งหนามีเหงื่อชโลมเคลือบจนมันเงาจากการใช้แรงแบกหามยกของหนักไม่ต่างจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้กล้ามเนื้อที่แน่นฟูคมชัดอยู่แล้วยิ่งดูสง่างามมีมิติมากขึ้น ที่ด้านหลังชาติชายก็ห้อมล้อมไปด้วยพลพรรคลูกสมุนคนงานที่ยืนดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ บ้างก็กระซิบพูดคุยกันไปต่างๆนาๆ...อากาศยามบ่ายว่าร้อนแล้วแต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับร้อนระอุยิ่งกว่า
“กูว่างานนี้แม่งศึกช้างชนช้างว่ะ ตัวล่ำบึ้กทั้งคู่” คนงานบางคนก็กระซิบกันว่า...
“เสี่ยโป้ส่งลูกพี่อีกคนมาให้ประสานงานกันแต่กูว่างานนี้คงจะ 'ประสานงา' กันมากกว่าว่ะ”
เสียงอันทรงพลังของชาติชายเมื่อครู่สะกดข่มขวัญเหล่าบรรดาลูกน้องกรรมกรเอาไว้จนหมดสิ้นหากทว่ายอดชายกลับเพียงแค่หันแผ่นหลังกว้างหนากำยำกลับมาช้าๆด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายแม้แต่น้อย


error loaded


ขอบคุณภาพประกอบจาก www.plamoya.com

“ลูกน้องมึงมีเยอะแยะกูขอยืมตัวมาใช้งานแค่สิบคนไม่ได้เหรอวะ ลูกน้องมึงก็ลูกน้องกูเหมือนกัน เสี่ยโป้...” ยอดชายกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแม้จะแกร่งกร้าวแต่ก็แฝงความใจเย็นอยู่หลายส่วนหากแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกอีกฝ่ายสวนกลับมาทันควัน
“เสี่ยโป้น่ะ นายมึง ส่วนเสี่ยป้อน่ะ นายกู แล้วที่นี่...” ชาติชายใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ลงพื้นขณะที่พูดคำว่า 'ที่นี่' และใช้นิ้วโป้งชี้เข้าหาตัวเอง “มีกูเป็นลูกพี่แค่คนเดียวเว้ย!”... "ข้าต่างเจ้า บ่าวต่างนาย จะเอามารวมกันได้ยังไงวะ?" ชาติชายกล่าวตีรวน
“แล้วมึงจะเอายังไง?” ยอดชายถามด้วยโทนเสียงทุ้มราบเรียบทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกำลังถูกท้าทายแย้มยั่ว
ร่างขาวหนาแกร่งที่ประดับไปด้วยมัดกล้ามคมชัดขึ้นรูปของชาติชายเดินช้าๆเข้าหาร่างแกร่งกล้ามผิวคล้ำเข้มของยอดชายราวกับจะท้าทายกันและกัน... ภาพหนุ่มใหญ่หุ่นล่ำบึกวัยไล่เลี่ยกันสองคนถอดเสื้อยืนประจัญหน้าใกล้กันขณะนี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งทรงพลังอย่างที่สุด ทันใดนั้นหมัดขวาตรงก็ถูกปล่อยออกด้วยความเลือดร้อนมุทะลุของชาติชายแต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว...
เดิมทียอดชายคิดเอาไว้ว่าถ้าอีกฝ่ายลงมือก่อนเขาก็จะสวนกลับคนละหมัดให้แตกหักรู้ดำรู้แดงกันไปแต่พอคิดทบทวนอย่างรอบคอบกลับไม่อยากทำร้ายอีกฝ่ายเพราะตัวเขาเองเป็นคนต่างถิ่นที่พึ่งย้ายมาและยังต้องทำงานอยู่ที่นี่อีกนานหลายเดือนจึงไม่อยากเพาะสร้างศัตรูที่เข้มแข็งแกร่งกล้ามอย่างชาติชายโดยไม่จำเป็น การทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันระหว่างลูกผู้ชายเลือดเดือดถือเป็นเรื่องปกติ วันข้างหน้าอาจจะกลับมาผูกมิตรปรับความเข้าใจกันได้ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยหมัดขวาตรงออกมาแทนที่จะสวนกลับไปแบบหมัดต่อหมัดอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ยอดชายกลับใช้วิธีแบบมวยปล้ำโยกตัวก้มหลบหมัดของอีกฝ่ายและพุ่งตัวที่หนั่นแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเข้าปะทะกับร่างแกร่งกล้ามของอีกฝ่ายจนล้มกลิ้งไปด้วยกันแบบกล้ามทับกล้าม...'ปึ้กกกก!'...เสียงทึบแน่นจากกล้ามเนื้อแข็งๆของทั้งคู่ชนปะทะกันอย่างจัง กล้ามเนื้อที่ต่างฝึกฝนมาจนแข็งแกร่งแน่นเป็นมัดๆราวกับทั้งคู่สวมใส่ชุดเกราะของนักรบเข้าปะทะกัน มัดกล้ามแกร่งแน่นที่ชนปะทะประลองกำลังกันของผู้ชายกับผู้ชายเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากกระทิงป่าตัวผู้สองตัวที่ใช้เขาแข็งๆชนกันแม้แต่น้อย
ครานี้นับเป็นการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในพละกำลังความแกร่งกล้ามตามวิถีทางของลูกผู้ชายกันแบบกล้ามชนกล้ามตรงๆเป็นครั้งแรกของชายหนุ่มทั้งคู่ ร่างบึกบึนกำยำเปลือยท่อนบนของชายหนุ่มทั้งสองคนนอนกลิ้งทับกันไปมาเป็นสีทูโทนสองชั้นบนพื้นดินประหนึ่งว่าเขาทั้งคู่ต้องการให้พระแม่ธรณีเป็นสักขีพยานตัดสินชี้ขาด สองแขนแข็งแกร่งทรงพลังของยอดชายโอบรัดร่างแกร่งกล้ามของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ขยับแขนชกต่อยได้ถนัดในขณะที่ชาติชายก็พยายามดิ้นให้หลุดจากการกอดรัดในครั้งนี้แต่ไม่เป็นผล หาใช่ว่าชาติชายมีพละกำลังที่ด้อยกว่าอีกฝ่ายไม่ หากแต่ในกีฬามวยปล้ำต่างรู้กันดีว่าการจะดิ้นรนหลุดรอดจากการกอดรัดด้วยสองแขนของอีกฝ่ายในท่า Bear hug จำเป็นที่จะต้องมีพละกำลังที่มากกว่าอีกฝ่ายอยู่พอสมควรไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถหลุดรอดออกไปจากอ้อมกอดสังหารนี้ได้เลย ซึ่งทั้งชาติชายและยอดชายล้วนมีพละกำลังที่สูสีก่ำกึ่งกันดังนั้นจึงยากที่ชาติชายจะสลัดหลุดจากการโอบรัดฟัดปล้ำโดยสองแขนล่ำกล้ามของยอดชายไปได้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ชาติชายจึงตอบโต้ด้วยการกอดรัดอีกฝ่ายด้วยท่าเดียวกันดูไปคล้ายกับยักษ์ล่ำๆสองตนกำลังปล้ำกันบนพื้นธรณีจนฝุ่นจากดินปนทรายฝุ้งตลบทั่วบริเวณ ท่อนแขนล่ำหนาทรงพลังของทั้งคู่ต่างโอบรัดร่างล่ำกล้ามของอีกฝ่ายราวกับงูเหลือมตัวเขื่องกำลังรัดเหยื่อที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ กล้ามเนื้อหนาที่ฉาบทาด้วยเหงื่อไคลทำให้ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงความลื่นไถลไปมาระหว่างมัดกล้ามกับมัดกล้ามขณะกอดรัดต่อสู้กันในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งแน่นกล้ามของกันและกันอยู่ในที กล้ามเนื้อที่ตึงแน่นแข็งเกร็งบีบรัดเข้าหากันจนทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอึดอัดหายใจลำบากแต่ก็ไม่มีใครยอมใคร... บางครั้งร่างล่ำกล้ามผิวเข้มก็ถูกพลิกให้เป็นฝ่ายลงไปอยู่ด้านล่างโดยมีร่างล่ำกล้ามผิวขาวทับอยู่ด้านบนบ้าง สลับกันไปมากว่าสิบนาทีจนแผงขนรักแร้ดกดำยาวหยาบส่งกลิ่นอับเหงื่อเข้มข้นของทั้งคู่เกือบจะสัมผัสโดนกันจากการฟัดปล้ำกันเช่นนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง


error loaded


ท่าอ้อมกอดสังหาร Bear hug

คนงานบางคนที่ชอบดูมวยปล้ำก็ชมดูด้วยความสนุกสนานละลานตาไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นของคู่มวยปล้ำตรงหน้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกลิ้งเกลือกกันไปมาบนพื้นดินลูกรังที่ดูดซับความร้อนจากแสงแดดมาตั้งแต่เช้าจนเริ่มมีไอความร้อนระบายออกมาจากผิวดินในยามบ่าย หากเป็นคนทั่วไปการเกลือกกลิ้งไปมาบนถนนลูกรังในช่วงที่อากาศร้อนระอุแบบนี้ย่อมทำให้เกิดบาดแผลมากมายทั่วตัวแต่เพราะเป็นผิวหนังหยาบหนาของผู้ชายที่ใช้แรงงานอยู่ทุกวันเหมือนกันประกอบกับทั้งคู่หมั่นฝึกฝนร่างกายจนมีมัดกล้ามที่ทั้งใหญ่และหนาจึงทำให้ตามผิวเนื้อแผ่นหลังที่หนาแกร่งกำยำของเขาทั้งคู่มีเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น
คนงานคนนึงที่มีจริตคล้ายผู้หญิงไม่ชอบไว้ขนรักแร้เพราะไม่ชอบกลิ่นเหม็นเหงื่อของตัวเองรู้สึกสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่เห็นว่าแผงขนรักแร้อันดกดำอับกลิ่นของชายหนุ่มทั้งคู่เกือบจะสัมผัสทับโดนกันจากการฟัดปล้ำกันไปมาบนพื้นดิน การสัมผัสโดนกันของเส้นขนที่มีกลิ่นอับเหงื่อสะสมเข้มข้นจุดนึงของร่างกายอย่างขนรักแร้กับขนรักแร้ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกเหม็นอับชื้นเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี ซึ่งคนที่ไม่ชอบกลิ่นอับๆแบบนี้มีหรือจะทนดูได้จนท้ายสุดจึงต้องเบนสายตาไปทางอื่นแทน

การกอดรัดประลองกำลังกันครั้งนี้ทำให้บุรุษทั้งคู่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีพละกำลังแห่งความเป็นชายเสมอกัน ในส่วนลึกของความรู้สึกกลับนึกชื่นชมในพละกำลังความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย กล้ามอกที่นูนหนาจนเป็นพูของทั้งคู่บีบรัดกันอย่างแนบชิด แรงบีบรัดกดอัดกระแทกกระทั้นกันของมัดกล้ามแกร่งทำให้เริ่มห็นรอยแดงฟกช้ำผุดขึ้นมาตามกล้ามอก กล้ามท้องและกล้ามแขนของทั้งสองฝ่ายเพียงแต่ทางฝั่งของชาติชายนั้นจะเห็นรอยแดงชัดเจนกว่าเนื่องจากเป็นคนผิวขาว
ชายหนุ่มล่ำกล้ามทั้งสองคนกอดรัดฟัดปล้ำกันจนมัดกล้ามแกร่งเปลือยเปล่าท่อนบนโดยเฉพาะแผ่นหลังหนากว้างบึกบึนต่างก็เปรอะเปื้อนไปด้วยดินปนทรายก่อนจะถูกบรรดาพวกลูกน้องของแต่ละฝ่ายช่วยกันจับแยกด้วยความทุลักทุเลยากลำบากเพราะพละกำลังของคนทั้งคู่ใช่ว่าใครจะจับแยกออกจากกันได้ง่ายๆหากทั้งคู่ไม่ยินยอมเลิกรากันเองมองดูคล้ายกลุ่มผู้ชายที่บ้างอ้วนบ้างผอมบ้างก็ลงพุงพยายามช่วยกันแกะก้อนเนื้อล่ำกล้ามสองสีที่เกลือกกลิ้งรวมตัวเป็นก้อนเดียวกันบนพื้นดินให้แยกออกจากกันซึ่งไอ้ดำกับไอ้แดงก็อยู่ในกลุ่มคนงานที่เข้ามาช่วยกันจับลูกพี่พวกมันแยกออกจากกันด้วยความชุลมุนวุ่นวาย จนในที่สุดก้อนเนื้อล่ำกล้ามสีทูโทนที่อัดแน่นรวมกันเป็นก้อนเดียวก็ถูกดึงให้ค่อยๆแยกหลุดออกจากกันสำเร็จด้วยความลำบากยิ่ง รอยแดงเป็นปื้นเป็นวงปรากฏบนผิวขาวแกร่งหนาของชาติชายจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนต่างจากทางด้านยอดชายที่รอยแดงฟกช้ำนั้นกลับกลืนหายไปกับผิวหนาแกร่งสีน้ำตาลเข้มจนมองเห็นได้ไม่ชัด จากการใช้แรงเข้าปะทะกอดรัดกันอย่างเต็มที่อีกทั้งขณะที่ออกแรงปล้ำกันในท่า Bear hug ยังทำให้หายใจลำบากพอแยกออกจากกันได้แผงอกหนาแกร่งของทั้งคู่จึงสะท้อนขึ้นลงถี่ด้วยความเหนื่อยราวกับนัดแนะกันไว้
“ปล่อย!!” ชาติชายตวาดพวกลูกน้องที่ช่วยกันจับตัวเขาไว้เพื่อไม่ให้เข้าไปปะทะกับอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มที่เคยผิวขาวราวกับหยกยามนี้กลับมีรอยแดงเป็นจ้ำทั่วตัว ชาติชายยกหลังมือขวาขึ้นเช็ดคราบดินปนทรายที่เลอะมุมปากของตนเองหากแต่ไม่ได้ปัดคราบดินที่เลอะเปื้อนมัดกล้ามตามเนื้อตัว มัดกล้ามแกร่งที่เลอะดินปนทรายกับท่วงท่าการเช็ดคราบดินที่มุมปากเมื่อครู่ทำให้ชาติชายยิ่งดูเป็นผู้ชายมาดเท่เซ็กซีมีเสน่ห์ไม่เว้นแม้แต่ในสายตาของผู้ชายด้วยกันเอง

“พวกมึงฟัง!! กูขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะเว้ย ต่อไปนี้ใครอยากเรียกมันว่าลูกพี่อีกก็ไม่ต้องมานับถือกูเป็นลูกพี่!” ชาติชายพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มจริงจังเด็ดขาดต่อหน้าคนงานทุกคนที่ยืนอยู่ในขณะที่ร่างแกร่งกล้ามสีน้ำตาลอมแดงที่ตอนนี้ตามเนื้อตัวก็มอมแมมไปด้วยดินทรายไม่ต่างจากอีกฝ่ายกลับมีท่าทีเรียบเฉยเคร่งขรึมตามสไตล์ของผู้ชายมาดเข้มเหมือนไม่แยแสสนใจอีกฝ่ายเพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มจริงจังเสมอกันว่า...
“ใครจะไปช่วยกูถมดินบนเขาก็ตามมา” พร้อมกับหันกายกำยำล่ำบึกเตรียมเดินขึ้นเขาไปทำงานต่อซึ่งแน่นอนว่าไอ้ดำเตรียมเดินตามหลังลูกพี่มันไปอยู่แล้ว

คนงานหลายคนต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าควรจะอยู่ฝ่ายไหนดี ในขณะนั้นกลับมีคนงานสิบคนซึ่งก็คือคนงานชุดเมื่อเช้าที่ขึ้นไปช่วยงานยอดชายถมดินบนเขาต่างสมัครพร้อมใจเดินไปสมทบกับไอ้ดำเพื่อจะไปทำงานบนเขาต่อให้เสร็จ อันที่จริงคนงานสิบคนนี้ต่างก็นับถือและเคารพชาติชายเป็นลูกพี่เสมอมาแม้กระทั่งตอนที่ตัดสินใจเช่นนี้ ใจจริงของคนงานทั้งสิบก็ไม่ต้องการเลือกฝ่ายเพียงแต่จากการที่ได้ไปช่วยงานยอดชายบนเขาเมื่อเช้าทำให้คนทั้งสิบรู้ว่ายอดชายก็นับเป็นลูกผู้ชายอีกหนึ่งคนที่น่าคบหาและหาได้ยากยิ่ง ไม่ใช่ลูกพี่ประเภทที่คอยแต่ออกคำสั่งโชว์เอาเปรียบลูกน้องไปวันๆแต่ยอดชายกลับลงมือทำงานหนักกว่าพวกตนซึ่งเป็นลูกน้องด้วยซ้ำ ทั้งขุดดินแบกหามล้วนทำให้ลูกน้องดูเป็นตัวอย่างทั้งสิ้นซึ่งตรงจุดนี้ก็ไม่ต่างจากชาติชายที่ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้องแม้แต่น้อย จะอย่างไรงานก่อสร้างต้องอาศัยแรงงานหลายคนต่อให้ยอดชายมีพละกำลังความสามารถมากเพียงใดก็ไม่อาจสร้างบ้านพักตากอากาศของมหาเศรษฐีที่มีพื้นที่หลายสิบไร่ให้เสร็จได้เพียงลำพังหรือต่อให้มีไอ้ดำคอยช่วยก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างเสร็จได้ทันเวลา คนงานทั้งสิบจึงตัดสินใจว่าจะต้องช่วยงานยอดชายให้เสร็จก่อนจากนั้นค่อยว่ากล่าวกันอีกทีเพราะถึงอย่างไรลูกพี่ทั้งสองคนล้วนนับเป็นลูกผู้ชายเสมอกัน การได้ติดตามเป็นลูกน้องของคนใดคนหนึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากแล้ว


error loaded


Thanks : https://hokuto-revive.sega.com

ในขณะที่ยอดชายก้าวเดินขึ้นเขาไปได้ไม่กี่ก้าวโดยมีไอ้ดำกับคนงานทั้งสิบเดินตามหลังก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นของชาติชายสั่งกับพวกลูกน้องซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนว่า...
“พวกมึงกลับไปพักผ่อนกันก่อนค่อยทำงานต่อคืนนี้”
ยอดชายหยุดเดินชั่วขณะโดยไม่ได้หันหลังกลับไปมองพลันก็เข้าใจจิตเจตนาของอีกฝ่ายว่าการที่ชาติชายจะเปลี่ยนไปทำงานช่วงกลางคืนก็เพราะว่าไม่อยากเห็นหน้าตนซึ่งจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ยอดชายกลับคิดว่าดีเหมือนกันจะได้ต่างคนต่างทำงานลดการเผชิญหน้ามีเรื่องกัน ซึ่งยอดชายหารู้ไม่ว่าเรื่องที่จะทำให้เขากับชาติชายต้องผิดใจกันครั้งใหญ่กำลังจะตามมาอีกในไม่ช้า...To be continued.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น