วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562

คู่ฟัดสัมผัสต้องห้าม (The Rivals for the Forbidden Touch) ตอนที่ 1 – วีรบุรุษ (1)





พิจิตร กุมภาพันธ์ 2499
“ช่วยด้วย..โจร..ขโมย..ใครก็ได้ช่วยด้วย” เสียงชราภาพของหญิงวัยล่วงเจ็ดสิบปีกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารในสภาพล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นถนนภายในซอยเล็กๆของตลาดแห่งหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านแต่กลับไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเพราะกลัวภัยจะมาถึงตัว ถัดไปเบื้องหน้าหญิงชราราวสิบวาเศษมีชายรูปร่างผอมคล้ายติดยาในมือกำถุงผ้าใบหนึ่งกำลังวิ่งหนีอย่างรีบร้อน ขณะที่ชายผอมกำลังจะวิ่งเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆทางขวามือก็คล้ายกับมีวัตถุบางอย่างกระแทกร่างให้กระเด็นหงายท้องล้มกลิ้งอยู่กลางถนนขณะที่ในมือผอมเกร็งยังคงกำถุงผ้าไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“กูว่ามึงเอาถุงนั่นไปคืนเจ้าของจะดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้” ในตรอกเล็กๆทางขวามือที่ชายร่างผอมพึ่งกระเด็นหงายออกมาค่อยๆปรากฏเงาร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีในชุดช็อบสีกรมท่าแบบเด็กก่อสร้าง-ช่างกล เด็กหนุ่มมีผิวสีแทนใบหน้าคมคาย รูปร่างแกร่งกล้ามแบบนักกีฬา มุมปากของเด็กหนุ่มคล้ายประดับด้วยรอยยิ้มดูเป็นคนอารมณ์ดีที่รักความยุติธรรมต่างจากใบหน้าอันโฉดชั่วของคนร่างผอมที่พึ่งวิ่งราวหญิงชรามาดุจฟ้ากับเหว
โจรผอมใช้มือยันกายยืนขึ้นแววตาของมันจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความโกรธเกรี้ยวเดือดดาล...
“มึงเสือกเหี้ยไรด้วยวะ อยากตายเหรอมึง!!” โจรผอมพูดขณะดึงวัตถุสีเงินออกจากขอบกระเป๋ากางเกง ฟึ่บ!...เสียงมีดสปริงปลายแหลมยาวเกือบคืบดีดตัวออกจากด้ามพับมองดูวาววับคมกริบ คนร่างผอมแสยะยิ้มนัยว่าป็นฝ่ายมีเปรียบที่ถืออาวุธอยู่ในมือ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังระวังตัวจากอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าทันใดนั้นก็ปรากฏชายร่างท้วมใหญ่สองคนพุ่งตัวจู่โจมจากด้านหลังล็อคเข้าที่แขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้อย่างถนัดถนี่ ที่แท้ชายร่างท้วมทั้งสองก็เป็นพวกโจรวิ่งราวที่ซุ่มอยู่บริเวณนั้นเพื่อช่วยเหลือพวกของมันหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เด็กหนุ่มพยายามดิ้นแต่โจรร่างท้วมทั้งสองมีน้ำหนักตัวรวมกันเกือบสองร้อยกิโลอีกทั้งยังมีพละกำลังไม่ต่ำทรามจะอย่างไรเด็กหนุ่มไม่อาจดิ้นหลุดได้ โจรผอมได้ทีพุ่งตัวไปข้างหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มพร้อมมีดคมกริบในมือที่ตั้งใจแทงเข้าที่หน้าอกเพื่อหวังปลิดชีพระบายแค้นที่โดนถีบเมื่อครู่ เด็กหนุ่มออกแรงใช้ขาทั้งสองข้างดีดตัวกระโดดขึ้นกลางอากาศทั้งๆที่ร่างท่อนบนยังถูกโจรร่างท้วมสองคนตรึงเอาไว้ไม่สามารถขยับสู้ได้...
"พลั่ก!"...เสียงโจรผอมโดนถีบเข้าที่ยอดอกเป็นครั้งที่สองแต่ครั้งนี้ดูจะแรงกว่าครั้งแรกเพราะเป็นการใช้แรงจากขาทั้งสองข้างกระโดดถีบประกอบกับการที่โจรผอมวิ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม จึงทำให้แรงถีบมีผลเป็นเท่าตัว โจรผอมหงายท้องกระเด็นออกไปกองกับพื้นอีกครั้ง มาตรว่าครั้งนี้จะรู้สึกเจ็บจุกที่ทรวงอกมากกว่าครั้งแรกแต่ในมือยังคงกำมีดไว้แน่น โจรผอมตะเกียกตะกายพยุงตัวลุกขึ้นมาในสภาพสะบักสะบอม ทางด้านโจรร่างท้วมทั้งสองเห็นเพื่อนถูกถีบจึงใช้ขาอวบป้อมของตนสกัดเกี่ยวขาของเด็กหนุ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง
โจรผอมพูดด้วยอาการโกรธแบบเลือดขึ้นหน้าเพราะถูกถีบถึงสองครั้ง...“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง ไอ้หน้าหล่อ คราวนี้กูจะส่งมึงไปหายมบาล ไอ้สัส!!” พร้อมกับเงื้อมีดพุ่งตัวเข้าหาเด็กหนุ่มอีกครั้งต้องการแทงที่อกซ้ายของเหยื่อให้ตายในทันที ถึงแม้โจรร่างท้วมแต่ละคนจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าเด็กหนุ่มหลายสิบกิโลแต่ด้วยการฝึกฝนร่างกายของเด็กหนุ่มจนมีกล้ามเนื้อแกร่งลีนแบบนักมวยก็ทำให้พละกำลังของเขาพอหักล้างสูสีกับโจรทั้งสองอยู่บ้างไม่ถึงกับถูกสยบไว้ซักทีเดียว เด็กหนุ่มออกแรงเบี่ยงตัวหลบอย่างสุดกำลัง
"ฟั่บ!"..การเบี่ยงตัวของเด็กหนุ่มทำให้มีดในมือโจรผอมที่ต้องการแทงที่หน้าอกแฉลบบาดเข้าที่ต้นแขนซ้ายใกล้กับหัวไหล่ของเด็กหนุ่มเป็นแผลลึกราวหนึ่งเซ็นติเมตรเลือดแดงฉานไหลรินออกมาจากปากแผลเป็นทางแต่ก็หามีเสียงร้องหรือท่าทางแสดงความเจ็บปวดใดๆจากเด็กหนุ่มไม่ ราวกับว่าเขาไร้ความรู้สึกทว่าใบหน้าที่เหมือนมีรอยยิ้มน้อยๆอยู่ตลอดเวลาของเด็กหนุ่มกลับดูขึงขังจริงจังขึ้นกว่าเดิม
“หึหึ อึดเหมือนกันนะมึง คราวนี้กูไม่พลาดแน่ จับมันไว้แน่นๆ” โจรผอมสั่งเพื่อนร่วมแก๊งค์ทั้งสองและออกแรงเงื้อมีดปลายแหลมด้วยมือขวาพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มอีกครั้งซึ่งคราวนี้ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ต่างอะไรจากเป้านิ่งที่ทำได้เพียงยืนรอความตายที่อีกฝ่ายกำลังจะหยิบยื่นให้แต่ในขณะที่ปลายมีดคมกริบอยู่ห่างจากแผงอกแกร่งของเด็กหนุ่มเพียงไม่ถึงคืบก็ปรากฏมือหยาบหนาที่แข็งแรงดุจคีมเหล็กคว้าจับเข้าที่ข้อมือของโจรผอมอย่างรวดเร็ว แรงบีบที่ข้อมือทำให้โจรผอมไม่สามารถขยับมือแทงไปข้างหน้าหรือดึงกลับได้แม้แต่น้อย!
“ไอ้เหี้ย ปล่อยมือกู มึงเป็นใครวะ? โอ๊ยยย!! มาเสือกเรื่องกูทำไม?” โจรผอมถามปนกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับมองใบหน้าผู้ที่เข้ามาขัดขวางการเอาชีวิตเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งผู้ที่โจรผอมมองเห็นตรงหน้าตอนนี้คือบุรุษหนุ่มผิวขาววัยสามสิบปลายๆ สูงราวหกฟุตเศษไว้ผมสั้นรองทรง คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับหน้าตาอันหล่อเหลาที่มีหนวดเคราขึ้นเป็นตอแข็ง แต่ที่ทำให้โจรผอมรู้สึกคร้ามเกรงก็คือหุ่นที่โดดเด่นล่ำกล้ามแบบนักเพาะกายของชายหนุ่มถ้าเทียบกันแล้วโจรผอมแทบไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือแม้แต่น้อย แรงบีบจากข้อแขนทรงพลังของบุรุษหนุ่มส่งมาที่ข้อมือของโจรผอมสร้างความเจ็บปวดสุดทานทน วินาทีนี้โจรผอมรู้สึกราวกับว่ากระดูกข้อมือของมันกำลังจะถูกบีบแหลกสลายเป็นผงธุลี!
“กูไม่ชอบพวกหมาหมู่เลยต้องขอเสือกซักหน่อยว่ะ” บุรุษหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำคล้ายกับไม่มีเรื่องราวใดหากแต่แววตาสาดประกายเจิดจ้าเอาจริงจ้องเขม็งคุกคามอีกฝ่ายจนน่าขนลุก ทางด้านเด็กหนุ่มก็พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการในขณะที่โจรร่างท้วมทั้งสองก็ออกแรงเกร็งข้อแขนล็อคตัวเขาไว้อย่างสุดกำลังเช่นกัน
“โอ๊ยย!! เหี้ย กูเจ็บ โอ๊ยย มึงจะเอายังไง? ปล่อยมือกู” ประโยคท้ายโจรผอมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อยลงด้วยความเจ็บปวดที่ข้อมือจนเข่าแทบทรุด
“ปล่อย!!” พอสิ้นคำสั่งว่าปล่อยของชายหนุ่ม เขาก็ออกแรงบิดข้อมือวูบซึ่งนั่นเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับโจรผอมจนมันไม่อาจถือมีดไว้ในมือได้อีกต่อไป
"โอ๊ยยยย!! มือกูหักแล้ว!"...แก๊กๆ…เสียงมีดตกกระทบพื้นเป็นจังหวะเดียวกับที่บุรุษหนุ่มใช้เท้าซึ่งใส่รองเท้าหนังหุ้มส้นหัวเหล็กเบอร์สี่สิบเจ็ดที่เขาใส่ทำงานก่อสร้างทุกวันเตะเข้าที่บริเวณลิ้นปี่ของโจรผอมอย่างไม่ทันตั้งตัว...ด้วยความกำยำล่ำกล้ามของชายหนุ่มที่ทั้งหนาและใหญ่กว่าเด็กหนุ่มหลายเท่าทำให้แรงเตะครั้งนี้รุนแรงกว่าการถีบของเด็กหนุ่มทั้งสองครั้งก่อนหน้าเป็นทวีคูณ ส่งผลให้ร่างของโจรผอมกระเด็นออกไปไกลเกือบห้าวา! ร่างผอมเล็กที่กระเด็นออกไปเพราะแรงเตะนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนไม่เคลื่อนไหวใดๆ บุรุษหนุ่มจึงเดินเข้าหาร่างที่นอนหงายอยู่บนพื้นค่อยทราบว่าคนตัวผอมหมดสติไปแล้วสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่เห็นเหตุการณ์รวมทั้งโจรท้วมทั้งสองที่ต่างหันมามองหน้ากันเองด้วยความตระหนกในพละกำลังของบุรุษผิวขาวปริศนาตรงหน้า เสี้ยววินาทีที่โจรร่างท้วมคนนึงตั้งสติได้ มันจำจะต้องปล่อยมือที่ล็อคตัวเด็กหนุ่มไว้เพื่อเข้ามาช่วยเพื่อนที่นอนสิ้นสติอยู่บนพื้นซึ่งก็เป็นโอกาสเหมาะขณะที่บุรุษหนุ่มยังคงหันหลัง...โจรร่างท้วมพุ่งตัวปราดเข้ามาเก็บมีดปลายแหลมที่ตกอยู่บนพื้นและพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังหนาแกร่งรูปตัววีของชายหนุ่มผิวขาวตรงหน้าทันที
“ระวัง!!” เด็กหนุ่มเปล่งเสียงแหบห้าวเพื่อเตือนภัยผู้ที่มาช่วยตนให้รอดพ้นจากความตาย สัญชาตญาณของชายหนุ่มรู้ทันทีว่าภัยกำลังกร่ำกรายเข้ามาจากด้านหลังจึงหมุนตัวถลันหลบไปทางขวาพร้อมกับใช้มือขวาตะปบจับเข้าที่ท่อนแขนของโจรร่างท้วมในขณะที่มือซ้ายก็ล็อคเข้าที่ลำคอของมันจากทางด้านหลังด้วยความรวดเร็วและแม่นยำอย่างที่สุด ขนาดของมัดกล้ามที่ใหญ่หนาของชายหนุ่มผิวขาวไม่ได้ทำให้เขาเคลื่อนไหวช้าแม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเข้มแข็งทรงพลังดุจราชสีห์ของชายหนุ่มสร้างความตะลึงลานให้กับทุกผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ด้วยแรงล็อคจากท่อนแขนที่อัดแน่นด้วยมัดกล้ามหนาแกร่งทรงพลังทำให้โจรร่างท้วมเริ่มหายใจติดขัดแม้แต่จะกล่าววาจาซักครึ่งคำหนึ่งประโยคก็อับจนปัญญาทำได้แต่พยายามใช้มือซ้ายแกะท่อนแขนที่ใหญ่ราวกับท่อนซุงของชายหนุ่มแต่กลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ผ่านไปราวสามนาทีเศษที่ต้องอยู่ในท่านั้น โจรร่างท้วมเริ่มมีใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเขียวจนไม่มีแรงถือมีดไว้ในมืออีกต่อไป บุรุษหนุ่มผิวขาวออกแรงใช้ท่อนแขนแกร่งกล้ามทรงพลังกดรัดที่ลำคอของมันเพิ่มขึ้น เสียงครืดคราดสามสี่ครั้งจากลมหายใจที่ขาดช่วงพร้อมกับพละกำลังที่ใช้ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเริ่มหมดลง ไม่นานโจรร่างท้วมก็แน่นิ่งไปอีกราย ชายหนุ่มจึงค่อยๆคลายแรงรัดที่ลำคอโจรร่างท้วมออกทีละน้อยจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสติไม่มีแรงต่อสู้อีกต่อไปจึงคลายท่อนแขนออกเป็นอิสระ ทิ้งให้คนร่างท้วมนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเหมือนกับเพื่อนของมัน
สำหรับโจรอีกคนก็ถูกเด็กหนุ่มหุ่นนักกีฬาต่อยจนหงายท้องล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีเตลิดไปแบบไม่เป็นท่า เด็กหนุ่มเดินไปเก็บถุงผ้าที่ตกอยู่ใกล้กับร่างที่หมดสติของโจรผอมขณะที่เด็กหนุ่มถือถุงผ้าอยู่ในมือก็ปรากฎคล้ายมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับบางอย่างแผ่ออกมาจากสิ่งของที่อยู่ในถุงผ้า เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของกระแสพลังงานลึกลับที่แผ่ซ่านอยู่กลางฝ่ามือแต่ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้จะอยากคลี่ถุงผ้าออกดูว่าสิ่งของลึกลับในถุงผ้านั้นคืออะไรแต่เขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทำเช่นนั้นกับสิ่งของๆผู้อื่น เด็กหนุ่มสังเกตว่าถุงผ้านี้ทำจากผ้าเนื้อดีมีการเย็บปักถักทอด้วยดิ้นเงินดิ้นทองลวดลายประณีตสวยงามประกอบกับน้ำหนักของสิ่งที่อยู่ข้างในจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าสิ่งที่อยู่ภายในถุงผ้าเล็กๆใบนี้ต้องเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน หญิงชราค่อยๆเดินกระเผกมาหาเด็กหนุ่มในขณะที่เด็กหนุ่มสังเกตว่าชุดที่หญิงชราสวมใส่ก็ทำจากผ้าเนื้อดีเช่นเดียวกับถุงผ้าที่ตนถืออยู่ จึงแน่ใจว่าเสียงขอความช่วยเหลือที่ตนได้ยินเมื่อครู่กับเจ้าของถุงผ้าใบนี้ก็คือหญิงชราที่อยู่ตรงหน้า...เด็กหนุ่มยื่นมือส่งถุงผ้าคืนให้แก่หญิงชราพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงแหบห้าวตามวัยที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่มมาไม่กี่ปี
“นี่ถุงผ้าของยายใช่มั๊ยครับ?”
“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม” หญิงชรากล่าวขอบใจเด็กหนุ่มด้วยเสียงอ่อนล้าตามวัยพร้อมกับรับถุงผ้ากลับมาด้วยสีหน้ายินดี ในขณะที่มีหญิงสาวแรกรุ่นแต่งตัวคล้ายเด็กรับใช้วิ่งหน้าตาตื่นกระหืดกระหอบตรงเข้ามายังคนทั้งสอง
“นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ นายท่านบอกให้หนู..ให้หนูคอยดูแลนายหญิงเวลาจะออกมาข้างนอก ทำไมนายหญิงออกมา..ไม่บอกหนูสักคำ? หนูตามหา..ตามหาทั่วทั้งบ้านแล้วไม่เจอถึงได้ตามออกมาข้างนอกนี่” หญิงสาวทั้งพูดทั้งถามปนกับการหอบหายใจเป็นพักๆ ที่แท้หญิงชราผู้นี้ก็คือมารดาของมหาเศรษฐีผู้หนึ่งในระแวกนี้นั่นเอง
“นานๆทีชั้นก็อยากออกมาเดินดูอะไรข้างนอกคนเดียวบ้าง” หญิงชราตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่แฝงความเมตตาต่อหญิงรับใช้อยู่หลายส่วน
“แล้วนี่..” ผู้เป็นบ่าวกำลังจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเสื้อผ้าของผู้เป็นนายถึงมีรอยเปื้อนดูขมุกขมอมแต่ถูกหญิงชราชิงพูดตัดบทเพราะไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และยิ่งไม่อยากให้ลูกชายต้องเป็นกังวลหากรู้เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ไม่มีอะไร มัวแต่ถามเซ้าซี้อยู่นั่นแหละ ชั้นอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว”
ผู้เป็นหญิงรับใช้ได้แต่ทำหน้างงงันเป็นกังวลแต่ก็ต้องปฏิบัติตามความต้องการของผู้เป็นนายอย่างขัดไม่ได้
“ไปค่ะนายหญิง กลับบ้านกัน นี่ถ้านายท่านรู้ หนูคงโดนเล่นงานแน่” ในขณะที่หญิงรับใช้กำลังจะประคองหญิงชรากลับคฤหาสน์ที่อยู่ไม่ไกลจากระแวกนั้น หญิงชราพลันหันมาเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า
“พ่อหนุ่ม..ถ้ามีเรื่องอะไรต้องการความช่วยเหลือก็มาหายายได้ คิดซะว่ายายเป็นญาติคนนึงของพ่อหนุ่มก็แล้วกัน ถามคนแถวนี้ว่า บ้านแสงรัตนฉัตร อยู่ที่ไหนก็จะรู้เอง” ก่อนจะค่อยๆเดินกระเผกจากไปโดยมีหญิงรับใช้คอยประคองอยู่ข้างกาย
ไม่นานรถตำรวจก็มาถึงจากการแจ้งเหตุของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่กล้าเข้าช่วยเหลือในตอนแรก โจรทั้งสองคนถูกนำตัวไปในสภาพหมดสติ ส่วนโจรร่างท้วมอีกคนก็ถูกออกหมายจับในเวลาต่อมา
“น้าชื่ออะไรครับ ขอบคุณครับที่เข้ามาช่วยผมเมื่อกี๊” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกล่าวขอบคุณบุรุษหนุ่ม
“กูชื่อชาย...ว่าแต่เลือดมึงออกมากอยู่นะ เดี๋ยวกูพาไปส่งโรงบาลให้ ตามมา” พูดจบบุรุษหนุ่มก็เดินนำหน้าไปยังรถกระบะสีแดงเลือดหมูของตนที่จอดอยู่ไม่ไกลนักโดยมีเด็กหนุ่มเดินตามมาขึ้นรถเพื่อไปยังโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร
“อยู่แถวนี้เหรอ ไม่เคยเห็นหน้า ใจกล้าดีนี่หว่า ชื่ออะไรวะ?” ชายหนุ่มผิวขาวเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายเพราะกำลังใช้สมาธิในขณะขับรถ
“ผมชื่อตรีครับ มาฝึกงาน อาทิตย์หน้าก็จะกลับพระนคร แล้วน้าชายทำงานที่นี่เหรอครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามกลับในขณะที่มองใบหน้าของผู้มีคุณ
“ใช่ ทำงานอยู่เชิงเขาตัดตะวันโน่น พอดีแวะมาซื้อของในเมือง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบทุ้ม
เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าน้าชายคนนี้ถึงแม้จะเป็นคนผิวขาวแต่มีมือหนาหยาบ ผิวพรรณเนียนเรียบเกลี้ยงเกลาก็จริงแต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกแกร่งกร้านไม่น้อยคล้ายเป็นพวกที่ใช้แรงงานตากแดดตากลมมานานปีและถึงแม้ว่ามัดกล้ามจะถูกเสื้อผ้าที่สวมใส่ปิดบังอำพรางไม่ให้เห็นความคมชัดว่ามีมากน้อยเพียงใดแต่ขนาดความหนาใหญ่ของกล้ามเนื้อที่อัดแน่นจนดูโป่งนูนเป็นมัดเป็นพูตามส่วนต่างๆของร่างกายกลับสามารถมองเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่ง
“แปลกดีนะครับ” อยู่ๆเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาลอยๆ
“อะไรแปลกวะ?” ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงงขณะที่มือหนาหยาบทำหน้าที่บังคับพวงมาลัยรถไปด้วย
“ทำไมน้าชายดูผิวไม่คล้ำเลย ทั้งๆที่ทำงานใช้แรงงาน ไม่เหมือนพ่อผมทำงานตากแดดแบกหามแต่ผิวเข้มมาก” เด็กหนุ่มตอบตามความรู้สึกนึกคิดของตน
“รู้ได้ไงวะ ว่ากูทำงานใช้แรงงาน” ชายหนุ่มเหลือบตามองเด็กหนุ่มแว๊บนึงด้วยความแปลกใจในความฉลาดชั่งสังเกต
“ผมเดาน่ะครับ” คนอ่อนวัยกว่าตอบปนอมยิ้ม
ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้ามาจอดในโรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน…
บุรุษพยาบาลนำรถเข็นมารอรับแต่เด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินเข้าไปห้องฉุกเฉินเองโดยกล่าวกับบุรุษพยาบาลว่า
“ขอบคุณครับแต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินไปเองดีกว่า แผลแค่นี้เอง”
“ชื่อจริงกูชื่อชาติชาย วันหน้าถ้ามึงมีอะไรให้ช่วยก็ไปหากูที่เชิงเขาตัดตะวันได้เสมอ” ชายหนุ่มบอกก่อนที่เด็กหนุ่มจะกล่าวคำขอบคุณและเดินหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินตามลำพัง
‘ไอ้นี่นอกจากจะใจกล้าแล้วยังเข้มแข็งอดทนใช้ได้ พ่อมันคงสอนมาดี’ ชาติชายคิดในใจเพราะความเข้มเเข็งอดทนเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะต้องสอนลูกเหมือนเช่นที่เขาก็มักสอนลูกชายเสมอ ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปยังแคมป์ที่พักคนงานที่อยู่เชิงเขา เขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นซึ่งก็เลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว ระหว่างทางขากลับก็แวะซื้อบุหรี่ที่ลูกน้องคนงานฝากซื้อโดยที่ตัวเขาเองนั้นเป็นคนไม่สูบบุหรี่ รวมทั้งซื้อเหล้าเบียร์และกับแกล้มอีกสองสามอย่างเพื่อไปดื่มกินกับลูกน้องในที่พัก ไม่นานรถกระบะสีแดงเลือดหมูก็กลับมาถึงแคมป์ก่อสร้าง
“ลูกพี่กลับมาแล้วโว้ย” เสียงคนงานที่ฝากซื้อบุหรี่ร้องบอกพวกพ้องในแคมป์
ชาติชายดับเครื่องยนต์และถือถุงพะรุงพะรังลงมาจากรถ พวกลูกน้องต่างพากันมาช่วยขนของจากท้ายรถกระบะซึ่งก็มีทั้งของที่ใช้เกี่ยวกับงานก่อสร้างไปจนถึงของใช้ส่วนตัวของคนงานแต่ละคนเพราะส่วนใหญ่ชาติชายจะขับรถเข้าเมืองเดือนละไม่กี่ครั้งของที่ซื้อมาแต่ละทีจึงมีมากเป็นพิเศษซึ่งก็รวมทั้งพวกเหล้ายาและเสบียงกรังต่างๆ
“ทำไมวันนี้ลูกพี่เข้าเมืองไปนานจัง” ลูกน้องคนนึงถามด้วยความแปลกใจเพราะปกติคนเป็นลูกพี่จะกลับมาถึงแคมป์ก่อนอาทิตย์ตกดินเสมอซึ่งต่างจากวันนี้
“สงสัยแอบแวะไปหาน้องทิพย์มาใช่มั๊ยลูกพี่ ฮ่าๆๆ” คนงานวัยใกล้สามสิบคาดเดาปนแซวเพราะรู้ว่าลูกพี่ของตนหลงผู้หญิงคนนึงในร้านน้ำชาแบบหัวปักหัวปำ
“ไม่ใช่เว้ย พอดีไปเจอเรื่องในเมืองมานิดหน่อยเลยกลับมาช้า” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงเข้มพลางในใจก็คิดถึงหญิงงามในโรงน้ำชาที่ตนมีใจให้แต่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นอาทิตย์แล้วเนื่องจากมีงานติดพัน
“มึงก็ชอบไปแซวลูกพี่เค้า คราวก่อนโดนลูกพี่ไล่เตะเพราะไปแซวน้องทิพย์ยังไม่เข็ดเหรอวะไอ้แดง ฮ่าๆๆ” คนงานที่ฝากซื้อบุหรี่หัวเราะพร้อมกับพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจ
“พวกมึงตั้งวงแดกกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา” ชาติชายพูดพร้อมลุกเดินไปยังห้องพักส่วนตัวซึ่งก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร
“ลูกพี่กล้ามโคตรแน่นเลยว่ะ ขนาดใส่เสื้อยังเห็นแผ่นหลังหนาปึ้กโคตรเท่ กูล่ะอยากมีหุ่นเหมือนลูกพี่แกเลยจริงๆ พับผ่าสิ” ไอ้แดงคนงานวัยเกือบสามสิบพูดกับเพื่อนในวงเหล้าหลังจากมองตามแผ่นหลังหนาแกร่งของชาติชายหายลับสายตาเข้าไปในห้องพัก
“ฮ่าๆๆ ตลกแล้วมึง วันๆกูไม่เคยเห็นมึงออกกำลังเล่นกล้ามเหมือนพี่ชายเค้า แดกก็ตามใจปากอยากแดกอะไรก็แดก มึงจะไปมีหุ่นเหมือนลูกพี่เค้าได้ไงวะ? นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่นิยายนะเว้ยที่พระเอกไม่ได้ทำอะไรแต่มีกล้ามขึ้นมาเองได้”
“ใช่ๆ ไอ้แดงมึงฝันกลางวัน มึงดูขนาดกลางป่ากลางเขาไม่มีโรงยิมแบบนี้ ลูกพี่เค้ายังพยายามดัดแปลงเอาอุปกรณ์ก่อสร้างมาใช้แทนเครื่องออกกำลังในยิม ถ้าเป็นมึงน่ะเหรอ ต่อให้อุปกรณ์อยู่ตรงหน้าครบ มึงยังไม่คิดจะยกเลยแล้วมัดกล้ามแกร่งๆหนาๆที่ไหนมันจะขึ้นบนตัวมึงวะ ฝันกลางวันจริงๆมึงนี่” คนงานก่อสร้างอีกคนแสดงความเห็นด้วยขณะกระดกแก้วเพื่อส่งเหล้าเข้าปาก ทุกคนในวงเหล้าต่างพากันพูดคุยอย่างออกรสในขณะที่ชาติชายเข้าห้องพักเพื่อจะเตรียมตัวเล่นกล้ามเหมือนเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ทันทีที่ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อออกก็เผยให้เห็นกล้ามหน้าอกที่ผ่านการฝึกฝนมานานปีจนขึ้นนูนแน่นเป็นพูแข็งทั้งซ้ายขวาอย่างสมมาตรโดยมีร่องแหว่งลึกอยู่ตรงกลางแผงอกขาวแกร่งชัดเจน ติดกับอกส่วนล่างถัดลงมาเป็นลอนกล้ามท้องที่ขึ้นเป็นบล็อกๆเรียงตัวชิดกันอย่างเป็นระเบียบหกลูกมองดูแข็งแกร่งสง่างามราวแกะสลักจากหินผาหยกศิลา ครั้นเมื่อชายหนุ่มสยายถอดเสื้อออกจนหมดก็ยิ่งเผยให้เห็นความบึกบึนกำยำขององคาพยพส่วนบนทั้งหมดไล่ตั้งแต่กล้ามเนื้อหัวไหล่ที่ทั้งใหญ่และหนากลม กล้ามแขนขึ้นเป็นมัดทั้งหน้าแขนและหลังแขนอย่างสมดุล แผ่นหลังกว้างหนารูปตัววีแข็งแกร่งดุจพญาราชสีห์มีลวดลายจากมัดกล้ามเนื้อที่ขึ้นเป็นริ้วๆอย่างสง่างามทั่วร่างราวกับผลงานประติมากรรมชิ้นเอกก็ไม่ปาน
ภายในห้องพักของชายหนุ่มจัดอย่างเรียบง่ายเป็นระเบียบไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆมากนัก จะมีก็แค่เตียงนอนไม้ หมอนธรรมดาๆหนึ่งใบ โต๊ะขนาดหนึ่งคนนั่งทำงานและแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์เล่นกล้ามเพาะกายที่เขาทำขึ้นเองจากวัสดุที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างด้วยเพราะเขาชอบฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งมีมัดกล้ามมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ใกล้กับผนังห้อง เขายกเหล็กท่อนยาวเส้นผ่าศูนย์กลางพอดีมือจับซึ่งวางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาพักไว้ที่หน้าตัก จากนั้นจึงใช้กำลังแขนทั้งสองข้างส่งท่อนเหล็กที่หนักเกือบสี่สิบกิโลกรัมขึ้นมาอยู่บริเวณปลายคางตรงหน้าโดยที่แขนท่อนบนขนานไปกับพื้นและปลายแขนทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้น มัดกล้ามกลมนูนที่หัวไหล่และหลังส่วนบนบิดเกร็งตัวในขณะที่ชาติชายออกแรงดันท่อนเหล็กขึ้นตรงๆเหนือศีรษะยิ่งเผยให้เห็นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวไหล่และหลังส่วนบนขณะออกแรงต้าน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวไหล่ยามนี้มีเลือดสูบฉีดเข้ามาหล่อเลี้ยงมากยิ่งขึ้นเวลายกด้วยท่านี้จึงปรากฏเส้นเลือดและความคมชัดของลายกล้ามเนื้อที่ขึ้นเป็นริ้วๆอย่างชัดเจน
ยามที่ชายหนุ่มยกท่อนเหล็กชูขึ้นจนสุดแขนยังเผยให้เห็นดงขนรักแร้เส้นหยาบยาวดกดำตัดกับผิวสีขาวยิ่งทำให้ดูโดดเด่นเซ็กซี่ซึ่งตอนนี้ขนรักแร้ของเขาเริ่มจะชื้นแฉะไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดพรายไหลอาบไปทั่วร่างเพราะภายในห้องไม่มีแม้แต่พัดลม ชาติชายยกท่อนเหล็กขึ้นลงเป็นเซ็ต เซ็ตละสิบ-สิบห้าทีรวมสี่เซ็ตจึงวางท่อนเหล็กลงที่เดิมจากนั้นเขาจึงลุกเดินไปยังเก้าอี้ยาวทำจากไม้เนื้อแข็งซึ่งวางอยู่กลางห้อง ที่ปลายเก้าอี้ยาวมีขาตั้งที่ทำด้วยเหล็กกล้าไร้สนิมขนาดไม่ใหญ่มากเพราะเป็นชิ้นเหล็กที่เหลือจากการตัดเชื่อม โดยบนขาตั้งมีเหล็กท่อนยาวลักษณะคล้ายกับเหล็กที่ใช้ยกเพื่อฝึกกล้ามไหล่เมื่อสักครู่เพียงแต่ที่ปลายท่อเหล็กทั้งสองข้างมีก้อนปูนที่ถูกหล่อโดยใช้ถังน้ำมันหกสิบลิตรถ่วงน้ำหนักอยู่ทั้งสองข้าง
ชาติชายเอนตัวนอนราบลงบนเก้าอี้ยาวซึ่งบริเวณหัวจะอยู่ใต้ท่อนเหล็กที่ถูกค้ำด้วยขาตั้งให้อยู่สูงกว่าระดับเก้าอี้พอดีและใช้กำลังแขนทั้งสองข้างยกท่อเหล็กซึ่งถูกถ่วงน้ำหนักด้วยปูนจนมีน้ำหนักราวหนึ่งร้อยเก้าสิบกิโลกรัมออกจากขาตั้งวางพักไว้ที่บริเวณแผงอกหนาแกร่งเหนือราวนม เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนออกแรงดันท่อเหล็กพร้อมกับการผ่อนลมหายใจออก ท่อนเหล็กถูกดันขึ้นจนสุดแขนในท่านอนราบ กล้ามหน้าอกของชายหนุ่มหดเกร็งตัวอย่างหนักจนเห็นเส้นใยกล้ามเนื้อแตกออกเป็นริ้วๆจากนั้นเขาจึงค่อยๆผ่อนแรงพร้อมกับสูดหายใจเข้าจนท่อนเหล็กกลับลงมาแตะที่แผงอกแกร่งเหนือราวนมเช่นเดิม การยืดออกหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าอกถูกกระตุ้นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนล้าเต็มที่ทำให้ทุกครั้งหลังฝึกหน้าอกของชายหนุ่มจะดูตึงแน่นฟูแกร่งอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นสาบอับเหงื่อแห่งความเป็นชายตลบอวลไปทั่วห้องเพราะไม่มีพัดลมระบายอากาศ การฝึกฝนส่วนต่างๆของร่างกายดำเนินต่อไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ชายหนุ่มเป่าลมออกจากปากเพื่อปรับลมหายใจ...
ผิวกายแกร่งแน่นที่มันเงาชุ่มเหงื่อไคลจนรู้สึกได้ถึงความเหนียวอับของขนดกดำในที่ลับและใต้ซอกแขนแน่นกล้ามของตนเองทำให้ชาติชายรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อและคิดว่านี่แหละคือไลฟ์สไตล์ของผู้ชายที่เล่นกล้ามและชอบไว้ขนไปพร้อมกัน...มัดกล้าม ดงขนและหยาดเหงื่อคือสิ่งที่ช่วยขับเน้นและแสดงเอกลักษณ์ของความเป็นชายออกมาได้เป็นอย่างดี
"พี่ชายไปอาบน้ำก่อนได้มั๊ยคะ?" คือประโยคที่ชาติชายมักได้ยินจากปากของหญิงสาวที่ตนเคยหลับนอนด้วย ผู้หญิงมักรักความสะอาดหากชายหนุ่มอยากพิชิตใจหญิงสาวก็ต้องทำตัวสะอาดด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะต้องขัดแย้งกับความชอบส่วนตัวก็ตาม

รอจนกระทั่งรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มแห้งชาติชายจึงลุกเดินไปล้างตัวให้กลิ่นอับเหงื่อเจือจางลงเพราะต้องออกไปสังสรรค์กับพวกลูกน้องถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ในฐานะหัวหน้างานเขาย่อมต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีอีกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงทำได้แต่เก็บซ่อนความชอบแบบนี้ไว้เป็นความลับต่อไป คนตัวขาวสูงล่ำถอดกางเกงพาดไว้กับราวแขวนในห้องน้ำเหลือเพียงกางเกงในที่โป่งนูนเพราะสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ผ้าเนื้อหยาบจนล้นทะลักด้วยขนหมอยหยาบสากดกดำจำนวนมากที่แผ่รอดออกมาตามขอบผ้าบริเวณขาหนีบทั้งสองข้าง ชายหนุ่มพึ่งจะตักน้ำล้างตัวได้สองขันพลันได้ยินสุ่มเสียงจากภายนอกเหมือนคนกำลังทะเลาะวิวาทกันจึงคว้ากางเกงมาสวมใส่และรีบออกจากห้องไปดูเหตุการณ์โดยที่ร่างส่วนบนยังเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะตามผิวกายแกร่งแน่นมองดูเซ็กซี่มีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ... To be continued.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น