พิจิตร เมษายน 2499
จุดหมายปลายทางของยอดชายก็คือบ้านพักคนงานเชิงเขาตัดตะวัน โครงการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศบนเขาตัดตะวันเป็นบริษัทรับเหมาของเสี่ยป้อพี่ชายต่างมารดาของเสี่ยโป้ หลายเดือนก่อนเสี่ยป้อต้องการคนงานที่มีประสบการณ์มาช่วยงานเพิ่มแต่เปิดรับสมัครอยู่นานก็ยังหาคนงานไม่ได้
“หลายอาทิตย์แล้วทำไมไม่มีใครมาสมัครงานเลยวะไอ้แป๊ว มึงติดประกาศทั่วหรือยังวะ งานกูยิ่งรีบๆอยู่” เสี่ยป้อถามลูกน้องด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“โธ่เฮีย ผมทั้งไปติดประกาศตามบ้าน ตามเสาไฟ ทั้งเดินแจกคนจนจะหมดจังหวัดอยู่แล้วเนี่ย คนส่วนใหญ่มันหนีไปทำงานพระนครกันหมด ที่นั่นทั้งเดินทางสะดวกสาวๆสวยๆก็เยอะ แถมเงินค่าจ้างก็ดีกว่า ใครมันจะไม่ไปล่ะเฮีย” ไอ้แป๊วคนงานก่อสร้างอายุยี่สิบที่พึ่งมาทำงานไม่นานยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ตอบตามความจริง ด้วยความที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์จึงมักโดนใช้งานเบ็ดเตล็ดอยู่บ่อยครั้ง การเอาใบประกาศรับสมัครหัวหน้าคนงานไปติดตามเสาไฟก็ไม่พ้นไอ้แป๊วเช่นกัน
“แล้วทำไมมึงไม่ไปหางานทำที่พระนครบ้างวะ?” คนเป็นนายจ้างย้อนถาม
“โธ่เฮีย ถ้าผมเก่งมีฝีมือแบบพี่ชาติชายผมไปนานแล้ว ที่นั่นเค้ารับแต่คนมีประสบการณ์มีฝีมือดีๆ” ไอ้แป๊วตอบตรง...บางทีก็ตรงเกินไปจนคนเป็นนายจ้างหันมามองหน้า แต่ด้วยนิสัยซื่อๆตรงๆแบบนี้จึงทำให้เสี่ยป้อรับเข้าทำงานเพราะอย่างน้อยก็เอาไว้ใช้งานทั่วไปได้บ้าง ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียวแต่ถ้าเป็นคนคดเคี้ยวกลับใช้ทำอะไรไม่ได้เลย เสี่ยป้อถอนใจยาวก่อนจะเขียนจดหมายฉบับนึงถึงน้องชายโดยใช้ให้ไอ้แป๊วเอาไปส่งที่กรมไปรษณีย์ ใจความในจดหมายก็เพื่อปรึกษาปัญหาการหาคนมาช่วยงานเพิ่มซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่งานก่อสร้างริมฝั่งแม่น้ำของเสี่ยโป้ใกล้จะสร้างเสร็จพอดี เสี่ยโป้จึงส่งจดหมายตอบกลับมาว่าจะส่งคนงานฝีมือดีมาช่วยงานให้เร็วที่สุด
“มึงไปพักห้องเดียวกับหัวหน้างานของที่นั่นชื่อชาติชายเวลามีอะไรจะได้ปรึกษากันได้ คนนึงคุมงานอยู่เชิงเขาอีกคนก็ขึ้นไปคุมงานบนเนินเขา งานจะได้เสร็จเร็วหน่อย ส่วนลูกน้องที่จะช่วยงานก็แบ่งกันเอง ที่นั่นคนงานก่อสร้างหายากว่ะ งานหนักไม่ค่อยมีใครอยากทำ ช่วยๆหน่อยแล้วกันว่ะ” เป็นประโยคที่เสี่ยโป้บอกกับยอดชายครั้งหลังสุดตอนที่เขาอยู่ที่ไซด์งาน
รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวผ่านบรรยากาศยามราตรีมาถึงเชิงเขาเกือบตีหนึ่งเพราะระหว่างทางยอดชายกับไอ้ดำแวะซื้อเหล้าเบียร์ของกินของใช้ต่างๆเพื่อตุนไว้เป็นเสบียง เบื้องหน้ากว่าสองร้อยเมตรมีแสงจากกองไฟที่กำลังลุกไหม้เศษไม้ที่ใช้ทำฟืนโดยมีคนงานนั่งล้อมวงกันอยู่หลายคนซึ่งกลางป่าเขาแบบนี้นอกจากเรื่องงาน ถ้าไม่เที่ยวซ่องก็ต้องกำลังตั้งวงกินเหล้ากันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยในขณะที่พวกคนงานต่างหันมองมาทางรถของผู้มาเยือนยามวิกาล
“ใครมาวะ?” คนงานคนนึงถามด้วยความสงสัยขณะยกมือข้างนึงขึ้นบังแสงจากไฟหน้ารถที่สาดเข้าตา
รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณหน้าแคมป์คนงานซึ่งเป็นลานโล่งกว้างอยู่ห่างจากจุดที่บรรดาคนงานล้อมวงสังสรรค์กันไม่กี่สิบเมตร คนตัวผอมสูงเปิดประตูรถด้านข้างคนขับก้าวลงมาก่อนพร้อมกับหิ้วถุงเสบียงที่วางเรียงรายอยู่ท้ายรถกระบะเดินไปยังกลุ่มคนงานในขณะที่ยอดชายดับเครื่องยนต์และถือถุงที่เหลือเดินตามมาสมทบ
“สวัสดีครับ ผมเป็นคนงานที่เสี่ยโป้ส่งมาช่วยงาน ส่วนนี่ลูกพี่ผม ชื่อยอดชาย” คนผอมสูงกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมกับแนะนำตัวเองและลูกพี่ที่มาด้วยให้พวกคนงานรู้จัก
“อ๋อ นึกว่าใคร เห็นเสี่ยป้อบอกกับลูกพี่ว่าจะมีหัวหน้าช่างกับผู้ช่วยมาทำงานที่นี่เพิ่ม คิดว่าจะมาถึงกันพรุ่งนี้เช้าซะอีก ทำไมรีบมากันจังครับพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด มาๆๆ” คนงานคนนึงลักษณะลงพุงจากการชอบดื่มแอลกอฮอลกวักมือเรียกผู้มาใหม่ทั้งสองพลางทำท่ากระเถิบที่ให้เข้ามานั่งก่อนจะหยิบแก้วใบเล็กข้างวงเหล้าออกมาอีกสองใบเป็นการชักชวนอีกฝ่ายให้เข้ามาร่วมวงด้วยอย่างเป็นมิตร
“ฮ่าๆๆๆ แบบนี้สิ คนคอเดียวกัน” ไอ้ดำหัวเราะร่าด้วยท่าทางดีใจ รีบเดินถือถุงเหล้าเบียร์และกับแกล้มเข้าไปนั่งร่วมวงทันที
“ไอ้นี่ ใครชวนแดกเหล้าด้วยไม่ได้ เข้าทางเลยนะมึง” ยอดชายพูดด้วยความที่รู้จักนิสัยของลูกน้องคนสนิทดีกว่าใครพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งร่วมวงด้วยอีกคน
“โถลูกพี่..เค้าชวนทั้งที พวกเราพึ่งมาใหม่ ทำความคุ้นเคยสนิทกันเร็วก็ยิ่งดีจริงมั๊ย? ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำหยิบขวดเหล้าเบียร์จากถุงในมือออกมาแช่ในกระติกน้ำแข็งที่วางอยู่ข้างวงเหล้าพลางรินเหล้าใส่แก้วให้ยอดชายและตัวเองอย่างไม่รอช้า
“ถ้างั๊นพวกผมก็ต้องเรียกลูกพี่ยอดชายสิ?” คนงานอีกคนถามขึ้นมากลางวงเหล้า
“เรียกว่าพี่ชายเฉยๆก็ได้ อยู่ที่พระนครใครๆก็เรียกแบบนี้ทั้งนั้น” ไอ้ดำแนะนำพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปาก
“เฮ้ย จิงดิ ลูกพี่ผมก็ชื่อชายเหมือนกัน เวลาเรียกจะสับสนหรือเปล่าว่าเรียกลูกพี่คนไหน?” ไอ้แดงถามแทรกขึ้นมาบ้าง
“กูบอกมึงแล้วเห็นมั้ยไอ้ดำ ว่าชื่อชายแม่งชื่อโหล เรียกกูว่ายอดก็จบ” ยอดชายเสนอความคิด
“โถ่ลูกพี่ เรียกมาจนชินปากแล้ว ช่างเถอะ ดีเหมือนกัน เวลานินทาลูกพี่จะได้ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ดำพูดแบบกวนประสาททีเล่นทีจริง
“โถ่ไอ้นี่ อุตส่าห์นั่งรถมาด้วยกันตั้งไกล เดี๋ยวกูถีบหงายตรงนี้เลยดีมั๊ย?” ยอดชายแกล้งทำท่ายกขาจะถีบ
“ลูกพี่ใจเย็นผมพูดเล่น ใครจะไปกล้านินทาลูกพี่ได้ ดุยังกะคิงคองกอลิลล่า ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำยกมือไหว้ปะหลกๆแต่ก็ยังไม่วายพูดล้อเล่นกวนประสาทตามนิสัย
ยอดชายเหลียวมองซ้ายขวาไปยังใบหน้าผู้คนในวงเหล้าเพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เห็นโฉมหน้าผู้ที่เขาต้องมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาห้องเดียวกันตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่จึงถามด้วยความสงสัย
“แล้วนี่ลูกพี่พวกมึงไม่อยู่เหรอวะทำไมไม่มานั่งร่วมวงด้วยกัน?”
“โอ๊ยย ไม่อยู่หรอกครับ ถึงวันหยุดทีไรลูกพี่เค้าต้องไปนอนกกสาวอยู่ร้านน้ำชาท้ายหมู่บ้านโน่น ดึกๆวันอาทิตย์ถึงจะกลับมาหรือไม่ก็เช้าวันจันทร์มาถึงก็ทำงานต่อเลยนั่นแหละ” ไอ้แดงอธิบาย
“ใกล้เชิงเขาทุรกันดารแบบนี้มีร้านน้ำชามาเปิดด้วยเหรอวะ?” ยอดชายถามด้วยความสงสัย
“มีครับ แถวนั้นเรียกว่าซอยโลกีย์ ขับรถจากนี่ไปไม่ถึงกิโลก็ถึงแล้ว หน้าร้านมีป้ายเขียนว่า ร้านน้ำชาและดอกไม้งาม หาไม่ยาก พวกที่ใช้แรงงานแถวนี้ชอบไปใช้บริการเพราะมีอยู่ร้านเดียว อีกอย่างผู้หญิงที่นั่นบอกเลยว่าโคตรแจ่มแต่ว่ามีอยู่คนนึงชื่อทิพย์ห้ามไปยุ่งเด็ดขาดนะครับเพราะลูกพี่ชาติชายเค้าจองแล้วคนนี้แตะไม่ได้เลย...แต่ถ้าชอบแบบแสงสีวับๆแวมๆหน่อยก็ต้องเข้าไปในเมืองโน่นแหละถ้าลูกพี่สนใจวันไหนบอก เดี๋ยวผมนำทางให้ ยิ่งเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นล่ำๆเนื้อแข็งๆแบบนี้ สาวๆที่นั่นแม่งคงชอบ ฮ่าๆๆ” ไอ้แดงอธิบายอย่างไม่มีสะดุด
“งั๊นก็เข้าทางลูกพี่ล่ะ เรื่องหีเรื่องกะหรี่ขอให้บอก ตีมาแล้วทุกหลุมตั้งแต่หลุมหนึ่งยันหลุมสิบแปด เจอสากกะเบือยักษ์รกขนของลูกพี่เข้าไปทีหม้อแตกกระจายหมด จริงมั๊ยครับลูกพี่? ฮ่าๆๆ” ไอ้ดำพูดพลางหันไปทางยอดชายที่กำลังนั่งฟังมันนินทาระยะเผาขนอย่างเงียบๆคล้ายเป็นการยอมรับโดยดุษณีว่าลูกน้องของตนพูดเรื่องจริง
“บ๊ะ!! แบบนี้ก็คงพอๆกับลูกพี่ชาติชาย รายนั้นก็ใช่ย่อย เงี่ยนบ่อยเป็นว่าเล่น นี่ยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่ลูกพี่แกไปติดพันอยู่ตอนนี้จะทนได้ซักกี่น้ำ ฮ่าๆๆ” ไอ้แดงกล่าวสองแง่สองง่ามอวดสรรพคุณความเป็นชายของลูกพี่ตัวเองบ้างก่อนจะทำท่าเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้...
“เออใช่! คุยเรื่องหีซะจนเกือบลืมเรื่องงาน วันก่อนเสี่ยป้อมาที่นี่ฝากแบบแปลนกับรายละเอียดไว้ให้พวกพี่ น่าจะอยู่ที่โต๊ะในห้องพักของลูกพี่” ไอ้แดงหันไปบอกกับยอดชายก่อนจะพูดต่อไปว่า...
“ห้องพักลูกพี่เป็นหลังสุดท้ายอยู่ตรงทางขึ้นเขาพอดี ทางด้านนั้น” ยอดชายและไอ้ดำมองตามนิ้วมือของไอ้แดงที่ชี้บอกทาง บ้านพักคนงานแต่ละหลังสร้างอยู่ไม่ห่างกันมากและหลังสุดท้ายตรงทางขึ้นเขาก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรเป็นระยะที่อยู่ในสายตามองเห็นได้แม้ว่าบรรยากาศตรงทางขึ้นเขารอบๆห้องพักจะค่อนข้างมืดเพราะภายในห้องพักหลังสุดท้ายนั้นไม่ได้เปิดไฟบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่สอดคล้องกับที่ไอ้แดงบอกว่าชาติชายผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังไปนอนกกสาวอยู่ท้ายหมู่บ้านยังไม่กลับมา
“ส่วนพี่ดำก็มาพักห้องเดียวกับผม” ไอ้แดงหันไปบอกกับไอ้ดำซึ่งอายุมากกว่ากันไม่กี่ปีก่อนจะพูดต่อ...
“แต่แปลกอย่างนึงคือปกติลูกพี่ชาติชายเค้าไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามแถวห้องพักแล้วก็ไม่มีคนงานคนไหนกล้าเข้าไปในห้องพักของลูกพี่เค้าด้วย เวลามีอะไรก็จะยืนเรียกอยู่หน้าห้อง ลูกพี่มาอยู่ใหม่ก็ระวังด้วยแล้วกัน” ประโยคท้ายไอ้แดงตั้งใจบอกกับยอดชายโดยเฉพาะ
“ทำไมวะ?” ไอ้ดำทำหน้าสงสัย
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยเพราะลูกพี่แกเจ้าระเบียบคงกลัวลูกน้องเข้าไปทำห้องแกรกมั๊ง” ไอ้แดงคาดเดาเพราะคิดว่าปกติคนเจ้าระเบียบก็คงไม่อยากให้ใครเข้าไปวุ่นวายภายในห้องที่จัดไว้เป็นระเบียบของตนแต่ในความเป็นจริงไอ้แดงหารู้ไม่ว่าภายในห้องของชาติชายนั้นแท้จริงมี ’บางสิ่ง’ ซ่อนอยู่!?
การจับกลุ่มสังสรรค์พูดคุยกันในวงเหล้าของผู้ชายใช้แรงงานเหมือนกันเช่นนี้ย่อมก่อเกิดความสนิทสนมกันได้ไม่ยาก การสนทนาดำเนินไปเกือบตีสี่ยอดชายจึงลุกขึ้นเตรียมตัวจะเข้านอนทิ้งให้ไอ้ดำเมาปลิ้นกับลูกน้องคนงานที่เหลือ
หลังจากลุกออกมาจากวงเหล้ายอดชายก็ก้าวเดินมาตามทางที่ไอ้แดงบอกจนมาถึงห้องพักห้องสุดท้ายอยู่ตรงทางขึ้นเขาพอดีซึ่งประตูเป็นแบบลูกบิดและไม่ได้ล็อคไว้ ทันทีที่มือหยาบกร้านเปิดประตูอ้าออก ‘บางสิ่ง’ ที่อวลอบอยู่ภายในห้องก็แผ่ฟุ้งออกมาปะทะนาสิกโด่งเป็นสันของผู้มาใหม่ทันที...
‘กลิ่นอะไรวะ?’ ยอดชายคิดขณะที่คำตอบก็ผุดแทรกขึ้นในสมองเกือบจะทันทีเช่นเดียวกัน...’กลิ่นเหงื่อ’... กลิ่นอับเหงื่อจางๆจากภายในห้องโชยชายออกมาสู่บรรยากาศภายนอกราวกับเป็นการกล่าวทักทายผู้มาเยือนแทนเจ้าของห้องที่ยังไม่กลับมา ยอดชายเข้าใจถึงสิ่งที่ไอ้แดงสงสัยเมื่อครู่ทันทีว่าทำไมชาติชายถึงไม่ค่อยชอบให้ลูกน้องเข้ามาวุ่นวายภายในห้องส่วนตัวเพราะจะมีหัวหน้างานคนไหนบ้างอยากให้ลูกน้องรู้ว่าภายในห้องของตนเองมีกลิ่นเหงื่อเหม็นอับเช่นนี้ ยอดชายเข้าใจดีเพราะตอนทำงานอยู่ที่พระนครเขาเองก็ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน กลิ่นเหงื่อที่เหม็นอับและทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนแต่สำหรับผู้ชายเถื่อนๆอย่างเขาแล้วมันคือสัญลักษณ์ของความเป็นชายชั้นเยี่ยมที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยการสูดดมเช่นเดียวกับกลิ่นกายหอมๆของหญิงสาวอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงดุจเดียวกัน
มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่ชอบออกกำลังกายและยิ่งถ้าเป็นผู้ชายที่มีฮอร์โมนเพศชายในตัวสูงย่อมส่งผลให้มีกลิ่นตัวเข้มข้นขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ยอดชายจะรู้สึกราวกับได้กลิ่นน้ำหอมชายแบรนด์เนมอีกยี่ห้อแต่จะมีซักกี่คนที่คิดเช่นเดียวกัน มือหยาบใหญ่ของชายหนุ่มผู้มาใหม่กดเปิดสวิตช์ไฟที่กำแพงก่อนจะปิดประตูและเดินเข้าไปภายในห้องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่สำหรับการอยู่คนเดียวแต่สำหรับการอาศัยอยู่สองคนแถมยังล่ำทั้งคู่ก็ถือว่าคับแคบไปหน่อย
ภายในห้องของชาติชายมีเฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาสองอย่าง หนึ่งคือเตียงทำจากไม้ที่วางอยู่ชิดกำแพงด้านซ้ายและขวาอย่างละหลังแต่เดิมนั้นมีเพียงเตียงของชาติชายที่วางชิดกำแพงด้านซ้ายอยู่หลังเดียว สองคือโต๊ะทำงานสองตัวอยู่ชิดผนังด้านในสุดโดยถูกจัดวางไว้คู่กันและอยู่ตรงกลางระหว่างเตียงสองเตียงแต่บรรดาอุปกรณ์เล่นกล้ามที่ชาติชายทำขึ้นเองยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยอดชายเดินไปยังม้าฝึกออกกำลังกายที่เป็นไม้เนื้อแข็งสำหรับนอนยกน้ำหนักฝึกกล้ามอกซึ่งจัดวางโดดเด่นอยู่กลางห้อง คล้ายกับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในห้องถูกทำเครื่องหมายความเป็นเจ้าด้วยกลิ่นตัวของชาติชายไว้หมดแล้ว
‘ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนที่มีกลิ่นตัวเข้มข้นพอๆกัน’ ชายหนุ่มคิดในใจ ยอดชายสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหงื่อแนว Sport Man เท่ๆของเจ้าของกลิ่นได้อย่างน่าประหลาด ภายในกลิ่นตัวแห่งความเป็นชายลึกลับนั้นธรรมชาติก็ยังประดับซ่อนไว้ด้วยฟีโรโมนอย่างแยบคาย...
_______________________________________________________________________________________________________
*ฟีโรโมน เป็นสารที่ไม่มีกลิ่น ร่างกายผลิตขึ้นจากต่อมเหงื่อโดยเฉพาะบริเวณรักแร้ หัวนมและอวัยวะเพศ โดยจะหลั่งออกมาพร้อมกับเหงื่อและสะสมเคลือบเกาะอยู่ตามขนรักแร้และหมอยเพื่อสื่อสาร ควบคุม-กระตุ้นอารมณ์ทางเพศในสปีชีส์เดียวกัน สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันได้
ยอดชายพลันรู้สึกว่ากลิ่นเหงื่อของอีกฝ่ายคล้ายส่งสัญญาณท้าทายกระตุ้นเหนี่ยวนำทำให้รู้สึกพลุ่งพล่านอยากออกกำลังกายให้เหงื่อออกตามไปด้วยอย่างบอกไม่ถูกแม้ว่าเวลานี้จะตีสี่แล้วก็ตาม ชายหนุ่มใช้มือใหญ่หยาบแข็งแรงสัมผัสคานบาร์เบลที่หล่อขึ้นจากปูนและท่อเหล็ก น้ำหนักของบาร์เบลตรงหน้าที่หนักราวร้อยเก้าสิบกิโลกรัมย่อมสามารถบอกได้ว่าผู้ที่ใช้มันฝึกฝนกล้ามเนื้ออยู่ทุกวันคงจะต้องมีมัดกล้ามแกร่งแน่นและพละกำลังที่สูงล้ำเหนือบุรุษทั่วไปอย่างแน่นอน ความท้าทายตรงหน้าทำให้ยอดชายต้องถอดเสื้อเหวี่ยงลงพื้นแล้วจึงนอนราบลงบนไม้เนื้อแข็งอับชื้นโดยใช้สองมือแกร่งกร้านจับคานบาร์เบลกว้างกว่าช่วงไหล่จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วออกแรงยกจนบาร์เบลลอยพ้นขาตั้ง ชายหนุ่มใช้แรงจากกล้ามอกนูนแน่นเปลือยเปล่าสีน้ำตาลเข้มดันบาร์เบลขึ้นลงอย่างมั่นคงมีสมาธิเป็นจังหวะ เขาดันขึ้นลงสิบกว่าครั้งจนกล้ามเนื้ออกเกร็งตัวเห็นลายกล้ามเนื้อแตกออกเป็นริ้วๆมีเส้นเลือดพาดผ่านไปมาบนแผงอกแกร่งกล้ามอย่างชัดเจนราวกับเป็นเส้นสายลายแทงแห่งหนทางความเป็นลูกผู้ชาย...ก่อนจะวางบาร์เบลกลับเข้าที่เดิม การยกน้ำหนักเมื่อครู่เปรียบเสมือนการหยั่งพละกำลังของอีกฝ่ายโดยใช้บาร์เบลเป็นสื่อกลางในการทดสอบซึ่งก็ทำให้ยอดชายรู้ตัวว่านอกจากอีกฝ่ายจะมีกลิ่นตัวเข้มข้นพอกันแล้วยังมีพละกำลังที่พอๆกับตนอีกด้วยยิ่งทำให้รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านท้าทายมากกว่าเดิม ยอดชายหวนนึกในชีวิตสามสิบแปดปีที่ผ่านมาจะหาผู้ที่มีพละกำลังเช่นนี้นับได้ว่าหาได้ยากนักย่อมทำให้บุรุษผู้รักการออกกำลังเพาะกายอย่างเขารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเป็นธรรมดา ความรู้สึกนี้ถ้าเป็นสตรีหรือคนทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกายคงไม่เข้าใจ การออกแรงยกน้ำหนักเล่นกล้ามภายในห้องที่ไม่มีพัดลมเช่นนี้ไม่นานมัดกล้ามแกร่งทั่วร่างของยอดชายก็ถูกชโลมไปด้วยเหงื่อไคลไหลอาบทำให้ดูมันวาวราวกับฉาบทาด้วยน้ำมันงา กลิ่นสาบเหงื่อตัวผู้ของเขาเริ่มแสดงบทบาทฟุ้งกระจายผ่านอากาศอับชื้นรอบตัวเข้าไปปะปนกับกลิ่นอับเหงื่อของอีกฝ่ายอยู่ภายในห้องอย่างประณีต ถึงแม้จะเป็นกลิ่นตัวของบุรุษเพศเหมือนกันแต่ก็มีข้อแตกต่าง...กลิ่นตัวของยอดชายนั้นจะมีรสเค็มแฝงอยู่จึงให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายมาดเข้ม (ผู้ที่มีเหงื่อรสเค็มถ้าใส่เครื่องประดับเงินจะทำให้เงินมีสีดำ) ต่างจากกลิ่นเหงื่อของชาติชายที่มีรสเปรี้ยวแฝงอยู่จึงให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายเท่ๆ (ผู้ที่มีเหงื่อรสเปรี้ยวถ้าใส่เครื่องประดับเงินจะทำให้เงินมีสีขาว) ซึ่งการผสมกลิ่นตัวที่มีองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกันเช่นนี้จึงทำให้เกิดเป็นกลิ่นใหม่ที่แตกต่างแต่ทว่ากลับกลมกลืนเหมือนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์!
ยอดชายเป่าระบายลมออกจากปากเพราะใช้แรงไปไม่น้อยก่อนจะลุกเดินไปล้มเอนตัวลงนอนบนเตียงไม้โดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำไม่กี่นาทีต่อมาสติจึงเริ่มเลือนรางลงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์รวมทั้งความเหนื่อยล้าจากการขับรถและการออกกำลังจนสุดท้ายดำดิ่งสู่นิทรารมณ์ปล่อยให้กลิ่นอับเหงื่อของตัวเองแสดงลีลาแผ่ฟุ้งผสมคละเคล้ากับกลิ่นเหงื่อของอีกฝ่ายอยู่ในอณูอากาศภายในห้องจนกระทั่งถึงยามบ่าย ชายหนุ่มผิวเข้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากการหลับมานานกว่าแปดชั่วโมงเต็ม ยอดชายสะบัดศีรษะเพื่อสลัดอาการกึ่งเมากึ่งเพลียออกไปซักพักจึงลุกขึ้นไปหยิบแผนผังแบบแปลนก่อสร้างที่ม้วนวางอยู่บนโต๊ะทำงานข้างเตียงคลี่กางออกดูแล้วจึงถือก้าวออกจากห้องไปโดยที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อมีเพียงกางเกงยีนส์ขายาวกับรองเท้าหนังหัวเหล็กที่ใส่มาเมื่อคืนเท่านั้น ชายหนุ่มต้องการเดินขึ้นไปสำรวจพื้นที่ก่อสร้างบนเขาเพื่อจะได้ลงมาเตรียมงานในวันรุ่งขึ้น จากแคมป์คนงานถึงจุดก่อสร้างบนเขามีระยะทางราวสามร้อยเมตร ชายหนุ่มใช้การเดินแทนการขับรถถึงแม้ทางจะชันแต่เป็นระยะที่ไม่ไกลเลยสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย ระหว่างทางขึ้นเขามีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกปกคลุมสองข้างทางและมีทางแยกเข้าป่าได้อีกหลายทาง ขณะที่เดินขึ้นทางลาดไปได้ประมาณห้าสิบเมตรพลันหางตาของยอดชายก็คล้ายเห็นราวกับว่าต้นไม้ทางขวามือสั่นไหวกรูเกรียวแหวกออกจนเป็นทางเดินลึกเข้าไปในป่าแต่เมื่อหันไปมองกลับพบว่ามีแต่ต้นไม้สีเขียวขึ้นรกหนาทึบจนไม่มีทางเดิน ยอดชายขมวดคิ้วหนาเข้มด้วยความประหลาดใจหากแต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลใดๆมาอธิบายได้จึงคิดว่าตนคงตาฝาดไปเองจากนั้นจึงก้าวเดินต่อมุ่งหน้าขึ้นเขาไปยังที่หมายถึงแม้ภายในใจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าตนตาฝาดก็ตาม อีกไม่กี่นาทีต่อมาชายหนุ่มร่างสูงก็มายืนสูดอากาศบริสุทธิ์อวดสรีระท่อนบนอันเปลือยเปล่าแกร่งกล้ามอยู่บนพื้นราบกว้างบนเนินเขาซึ่งเป็นบริเวณที่จะใช้สร้างบ้านพักตากอากาศของมหาเศรษฐี
“อากาศบนนี้แม่งดีจริงๆ” ยอดชายพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขากวาดตามองชมทิวทัศน์โดยรอบพร้อมกับคลี่กางแบบแปลนสร้างบ้านในมือออกดูอีกครั้งเพื่อกะเกณฑ์คำนวณพื้นที่ในเบื้องต้นคร่าวๆก่อนจะเดินสำรวจป่าเขาทั่วบริเวณจนถึงเวลาเกือบห้าโมงเย็นจึงกำลังจะกลับลงจากเขาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชาติชายพึ่งกลับมาจากการเที่ยวซ่องพอดี รถกระบะสีแดงเลือดหมูเลี้ยวเข้ามาจอดในลานกว้างของแคมป์คนงานใกล้กับกระบะสีดำของยอดชาย
“รถใครวะ?” ชาติชายถามคนงานวัยยี่สิบเศษคนนึงที่อยู่บริเวณนั้นหลังจากที่ก้าวลงจากรถ
“อ๋อ รถลูกพี่ชายไงครับ” เด็กหนุ่มตอบไปโดยลืมคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็ชื่อชายเหมือนกัน
“ชายไหน รถกูสีเลือดหมู กูไม่มีรถสีดำ” คำว่า ’ลูกพี่’ ที่อีกฝ่ายเรียกทำให้ชาติชายเข้าใจว่าหมายถึงตนเองเพราะเขา(เคย)เป็น ‘ลูกพี่’ เพียงคนเดียวในที่นี้ไม่มีลูกพี่คนอื่นอีกแล้ว
“ลูกพี่ชาย เอ่อ..พี่ยอดชายพึ่งมาถึงเมื่อคืน ลูกน้องที่เสี่ยโป้ส่งมาช่วยงานไงครับ” เด็กหนุ่มพยายามอธิบายจนทำให้อีกฝ่ายนึกออก
“อ่อ แล้วนี่มันอยู่ไหนวะ?”
“สงสัยยังนอนอยู่ในห้องลูกพี่มั๊งครับ” เด็กหนุ่มไม่ทันเห็นตอนที่ยอดชายเดินขึ้นเขาไปคนเดียวจึงตอบไปตามที่ตัวเองคิดว่าน่าจะยังนอนอยู่ในห้อง
“เออ ไม่มีอะไรละ มึงมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ชาติชายพูดแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเดินตรงไปยังห้องพักของตนเอง ภายในใจก็ยังกังวลว่าผู้ที่มาใหม่หากได้สูดกลิ่นอับเหงื่อภายในห้องของเขาจะคิดยังไง? ถ้าไอ้คนที่พึ่งมาใหม่เป็นพวกรักสวยรักงามที่ชอบให้ห้องหอมๆตลอดเวลาก็คงอยู่ด้วยกันลำบาก
ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดอ้าออกกลิ่นสาบอันคุ้นเคยของตัวเองก็ลอยออกมากระทบจมูกโด่งเป็นสันเหมือนเช่นทุกวัน ชาติชายรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ได้กลิ่นความเป็นชายของตัวเองเพราะกลิ่นเหงื่อยิ่งเข้มข้นย่อมมาจากฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ที่มีมากตามไปด้วยแล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มจะไม่รู้สึกภูมิใจ?...ฤา ในโลกนี้มีผู้ชายคนไหนบ้างที่อยากให้ฮอร์โมนเพศชายในตัวเองลดลง? หากทว่าวันนี้มีบางอย่างในกลิ่นที่แผกไปจากทุกวัน ชาติชายก้าวเข้ามาในห้องจมูกกลับสูดได้กลิ่นของผู้ชายอีกคนที่ทิ้งกลิ่นสาบเหงื่อจางๆกับฟีโรโมนลอยฟุ้งกระจายอยู่ภายในห้อง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อที่อีกฝ่ายถอดทิ้งไว้บนพื้น ชายหนุ่มก้มลงเก็บเสื้อชื้นเหงื่อของผู้มาเยือนที่ใส่มาตลอดทั้งวันและได้ถอดทิ้งไว้ตอนตีสี่ ชาติชายถือเสื้อของยอดชายไว้ในมือใหญ่หยาบกร้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว...คิ้วคมเข้มขมวดเล็กน้อยคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนจะยกเสื้อขึ้นดมเพื่อพิสูจน์ที่มาของกลิ่น...ผลการดมพิสูจน์ก็พบว่ากลิ่นสาบเหงื่อบนเสื้อเป็นกลิ่นเดียวกับที่ลอยฟุ้งอยู่ภายในห้องจริงๆ ทันทีที่กลิ่นอับเหงื่อของยอดชายถูกสูดดมผ่านนาสิกโด่งเป็นสันขึ้นไปยังสมอง...เพียงเสี้ยววินาทีเมื่อสมองทำการประมวลผลตามสัญชาตญาณ...ภาพของผู้ชายมาดเข้มคนนึงปรากฏในความคิดทันทีเพราะกลิ่นตัวย่อมบ่งบอกบุคลิกลักษณะของเจ้าของกลิ่นได้ดี เช่นนั้นแล้วกลิ่นเหงื่ออับชื้นที่ผสมกันอยู่ในห้องขณะนี้ย่อมเกิดจากการผสมผสานเข้าด้วยกันของความแมนกับความแมนของผู้ชายมาดเข้มแบบคนใต้กับผู้ชายมาดเท่แบบคนเหนือ...เป็นการผสมกลิ่นกายแห่งความเป็นชายกันอย่างลงตัวราวกับแม่เหล็กขั้วเหนือขั้วใต้ที่ดึงดูดเข้าหากันและกันอย่างลงล็อคพอดิบพอดี!...อย่างน้อยก็ทำให้ชาติชายเบาใจไปได้เปราะนึงว่าอีกฝ่ายก็มีกลิ่นตัวเช่นเดียวกันเมื่อต้องมาอยู่ห้องเดียวกันแบบนี้จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง...To be continued.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น