พระนคร เมษายน
2499
สายลมฤดูร้อนพัดใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นปลิวหมุนกระจัดกระจาย
ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับดูมืดครึ้มคล้ายฝนกำลังจะตก เด็กหนุ่มผิวเข้มรับแผ่นกระดาษใบเล็กสีฟ้ามาถือไว้หลังจากส่งเหรียญบาทจำนวนสามเหรียญให้กับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วเรือ
ผมสั้นรองทรงของเด็กหนุ่มรับกับหน้าตาหล่อคม
ผิวสีแทนเข้มและหุ่นแบบนักกีฬาว่ายน้ำช่วยขับให้เขาดูมีเสน่ห์เป็นที่หมายปองของสาวๆในวัยเดียวกัน
เด็กหนุ่มก้าวเดินจากจุดขายตั๋วมายืนรอเรือด่วนเพื่อเดินทางกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวันแต่วันนี้ดูเหมือนว่าตามท่าเรือจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่พึ่งเลิกงานมารอขึ้นเรือกันมากเป็นพิเศษอีกทั้งยังเป็นวันที่ติดกับช่วงของวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงคนส่วนใหญ่จึงอุ้มลูกจูงหลานเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา
เด็กหนุ่มเงยใบหน้าหล่อคมมองก้อนเมฆสีดำที่แผ่ปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้มในมือของเขาถืออุปกรณ์ชนิดหนึ่งคล้ายไม้บรรทัดขนาดใหญ่รูปตัวทีซึ่งก็คืออุปกรณ์สำหรับงานเขียนแบบของพวกเด็กช่างทั้งสายก่อสร้างและช่างกล
สายตาของเด็กหญิงตัวน้อยวัย 5-6 ขวบคนหนึ่งซึ่งมีผู้ปกครองจูงมือยืนอยู่บนท่าเรือจ้องมองที่วัตถุรูปทรงประหลาดที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มคล้ายกับคิดว่า
’นั่นใช่ของเล่นหรือเปล่านะ?’ เด็กหนุ่มยิ้มให้หนูน้อยเป็นการทักทายแต่สายตาบนใบหน้ากลมป้อมนุ่มนิ่มน่าหยิกของหนูน้อยนั้นยังคงสนใจแต่ไม้ทีในมือของเขา
สายลมพัดแรงขึ้นในขณะที่กระแสน้ำก็ไหลเชี่ยวจนดันให้โป๊ะของท่าเรือเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะของคลื่นที่ถูกลมพัด
สายลมที่พัดแรงทำให้เสื้อผ้าของผู้คนที่กำลังยืนรอเรือมีสภาพยู่ยับสะบัดไปมาตามแรงลมแนบไปตามสัดส่วนของร่างกาย
“เรือที่กำลังจะเข้าเทียบเป็นเรือด่วนที่จะเดินทางไปจังหวัดสมุทรสงครามขอให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปสมุทรสงครามโปรดลงเรือด้วยความระมัดระวังและเดินทางโดยสวัสดิภาพ...”
เสียงของเจ้าหน้าที่ท่าเรือประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงบอกให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลงเรือและไม่กี่นาทีต่อมาเรือด่วนสีขาวที่มีป้ายเขียนไว้เหนือหลังคาเรือว่า
เจ้าพระยา-แม่กลอง ก็ได้เข้าเทียบท่า...
ผู้คนต่างพากันเบียดเสียดลงเรือทำให้ที่ว่างบนเรืออัดเต็มไปด้วยผู้โดยสารทั้งลำในพริบตา
เด็กหนุ่มก้าวลงเรือมาเป็นลำดับท้ายๆเนื่องจากเขาเสียสละให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง
เด็กและคนแก่ลงเรือไปก่อนโดยเด็กหนุ่มยืนเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นอยู่บริเวณท้ายเรือ
หลังจากที่ลงเรือได้ไม่นานเจ้าหน้าที่บนท่าเรือก็ให้สัญญาณปลดเชือกเพื่อให้เรือออกเดินทาง...
ฝนเริ่มลงเม็ด...หนักขึ้นจากเม็ดเล็กสักพักก็ค่อยๆกลายเป็นเม็ดใหญ่...สายฝนห่าใหญ่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว
เสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะไม่ขาดหู
หลังคาที่ยื่นมาไม่ถึงส่วนท้ายสุดของเรือทำให้ผู้โดยสารบางคนที่ยืนเบียดกันอยู่ต้องเปียกฝน
เด็กหนุ่มเปียกโชกไปทั้งตัว...เสื้อเชิ๊ตสีขาวบางที่เปียกฝนแนบไปกับส่วนบนของลำตัว
ผิวสีเข้มของเด็กหนุ่มตัดกับเสื้อสีขาวของเขาทำให้มองเห็นมัดกล้ามเนื้อที่แน่นแข็งแบบนักกีฬาอย่างชัดเจน
เรือออกเดินทางด้วยความเร็วมาได้ซักพักใหญ่คลื่นลมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแม้แต่น้อยและดูเหมือนว่าจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นพายุกอปรกับสมัยนั้นยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกปูนมากมายช่วยกำบังลมเหมือนเช่นปัจจุบันทำให้ความเสียหายจากลมพายุเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง
สิ่งปลูกสร้างบางตาสองริมฝั่งแม่น้ำหลายหลังถูกลมพายุพัดกระชากถอนดึงจากพื้นดินปลิวสลายหายไปในพริบตาอย่างไร้ปรานีและขณะที่เรือลำขาวกำลังจะเลี้ยวบริเวณโค้งแม่น้ำ...เสียงวูดเพื่อบอกถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างจากส่วนหัวเรือก็ดังขึ้นยาวต่อเนื่อง...
’วู๊นนนนนน!!’
เกือบจะทันทีเหตุการณ์ที่ทุกคนบนเรือไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...มีเรือเร็วอีกลำที่กำลังแล่นสวนผ่านโค้งแม่น้ำมาด้วยความเร็วไม่ต่างกันพุ่งเข้าปะทะกับเรือที่เด็กหนุ่มโดยสารมาอย่างจัง
เสียงเหล็กปะทะเหล็กดั่งสนั่น...โครมมม!! เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณที่เกิดเหตุ
บางคนที่กระเด็นตกน้ำแต่ว่ายน้ำไม่เป็นก็พยายามหาที่เกาะยึดเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ในห้วงมหานทีอันเวิ้งว้างไหนเลยจะมีที่ให้ไขว่คว้ายึดเกาะได้!
บางคนที่ว่ายน้ำเป็นก็พยายามว่ายออกห่างจากตัวเรือที่กำลังจะจม
“ช่วยด้วย..ช่วยด้วย!!”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังสับสนอลหม่านแต่เนื่องจากฝนตกลมแรงยิ่งทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก
บางคนแม้ว่าจะว่ายน้ำเป็นแต่ก็สู้ความแรงของกระแสน้ำไม่ไหวจึงโดนสายน้ำอันเชี่ยวกรากพัดวนจมหายไปต่อหน้าต่อตา
เด็กหนุ่มเสียหลักจากแรงปะทะกันของเรือทั้งสองลำจนตกน้ำเช่นกันแต่ขณะที่กำลังว่ายน้ำออกห่างจากตัวเรือมาได้เพียงไม่กี่เมตรเขาได้หันไปดูเรือที่ตนเองโดยสารมาเมื่อครู่ซึ่งขณะนี้มีสภาพเอียงกะเท่เร่ใกล้จะพลิกคว่ำเต็มที
ผู้คนที่หลงเหลืออยู่บนเรือต่างเบียดเสียดหาที่ยึดจับกันจ้าละหวั่น
การเบียดเสียดกันเพื่อเอาชีวิตรอดทำให้มีเด็กคนหนึ่งพลัดตกลงมาจากตัวเรือ...
’ตูมมม!!’
เสียงน้ำแตกกระจายออกเป็นวงเมื่อร่างของหนูน้อยกระแทกกับผิวน้ำ
เด็กหนุ่มจำเสื้อผ้าของเด็กคนนั้นได้ว่าเป็นหนูน้อยคนที่เขาส่งยิ้มให้ตอนที่รอเรืออยู่บนท่า
เหตุการณ์คับขันไม่มีเวลาให้ขบคิด ในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันเอาตัวรอดแต่ด้วยสัญชาตญาณของลูกผู้ชาย...เด็กหนุ่มกลับว่ายน้ำเข้าหาตัวเรืออีกครั้งทันทีเพื่อช่วยชีวิตหนูน้อย
เขาดำผุดดำว่ายหายไปใต้น้ำซักพักจึงโผล่ขึ้นมาพร้อมกับร่างของหนูน้อยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เด็กหนุ่มพยายามว่ายน้ำออกห่างจากตัวเรืออีกครั้งด้วยมือขวาเพียงข้างเดียวเนื่องจากมือซ้ายต้องประคองร่างของเด็กหญิงซึ่งหมดสติจากการจมน้ำ
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของวิทยาลัยช่างแต่ทว่าคลื่นลมแรงอีกทั้งยังใช้มือเพียงข้างเดียวว่ายน้ำทำให้มีสภาพทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย
ว่ายน้ำอยู่ชั่วอึดใจจึงปรากฎเรือเล็กลำหนึ่งแล่นฝ่าเกลียวคลื่นและพายุฝนใกล้เข้ามา...บนเรือเล็กมีชายผมขาวอายุมากดูท่าทางใจดีทำหน้าที่บังคับเรือและที่ส่วนหัวเรือยังมีบุรุษผิวเข้มสูงราวหกฟุตเศษรูปร่างใหญ่หนาบึกบึนวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างมั่นคงสง่างามท่ามกลางสายฝนลมพายุยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูองอาจน่าเกรงขามดูไปไม่ต่างจากโพไซดอนในเทพนิยาย...
ในมือใหญ่หยาบแข็งแรงของชายหนุ่มถือไว้ด้วยม้วนเชือกป่านขดใหญ่ที่ผูกยึดกับพวงชูชีพเอาไว้ช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุทางน้ำด้วยสัญชาตญาณของลูกผู้ชายยามพบเห็นเหตุการณ์คับขันย่อมไม่อาจอยู่นิ่งเฉย
กล้ามที่ใหญ่หนาเป็นมัดๆตามร่างกายของชายหนุ่มทำให้เสื้อที่เขาสวมใส่โป่งพองไปตามสรีระสัดส่วนแน่นกล้ามและเมื่อเสื้อเปียกฝนยิ่งทำให้ดูกระชับรัดรูปมากจนเหมือนพร้อมจะปริขาดได้ทุกเวลาที่เขาเคลื่อนไหว
ชายสูงวัยพยายามบังคับเรือเข้าหาเด็กหนุ่มที่กำลังว่ายน้ำอยู่เบื้องหน้ากว่าห้าสิบเมตร
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หัวเรือเห็นว่ามีอยู่หลายครั้งที่ร่างของเด็กหนุ่มคล้ายกับถูกคลื่นซัดจนเหมือนจะหายไปจากผิวน้ำชั่วขณะแต่ทุกครั้งก็สามารถลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำและว่ายต่อไปได้โดยที่มือซ้ายยังพยุงพาดร่างเล็กไว้บนบ่าของตนไม่ยอมปล่อยนับเป็นน้ำใจของลูกผู้ชายอันประเสริฐที่หาได้ยากยิ่ง
ความเร็วของเรือลำน้อยที่ค่อยๆแล่นต้านกระแสลมพายุไปข้างหน้าดูเหมือนจะไม่ทันใจชายหนุ่มที่มองเห็นเหตุการณ์คับขันโดยตลอด
“ไอ้หนุ่มรับนี่ไว้!!“...เสียงทุ้มหนักแน่นแฝงพลังกล้าแข็งของบุรุษหนุ่มผิวเข้มตะโกนจากหัวเรือฝ่าพายุฝนสู้กับเสียงฟ้าร้องที่ดังระงมก่อนจะโยนพวงชูชีพไปเบื้องหน้า
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรและพวงชูชีพก็มีน้ำหนักหลายกิโลกรัมแต่ด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มกลับสามารถเหวี่ยงส่งให้พวงชูชีพลอยฝ่ากระแสลมพายุเสมือนกับวัตถุไร้น้ำหนักไปตกอยู่ใกล้กับจุดที่เด็กหนุ่มว่ายน้ำอย่างง่ายดายแสดงให้เห็นถึงกำลังแขนอันแกร่งกล้ามทรงพลังของเขาได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มรับพวงชูชีพไว้คล้องกับตัวของหนูน้อยโดยตนเองเกาะอยู่ข้างๆช่วยพยุงหนูน้อยเอาไว้
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังว่ายน้ำไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าของคนบนเรือได้ถนัดชัดนัก
ชายหนุ่มบนเรือออกแรงดึงเชือกที่ผูกติดกับพวงชูชีพได้ไม่นานทั้งสองชีวิตที่กำลังเผชิญความเป็นความตายอยู่ในน้ำก็ถูกดึงให้เข้ามาอยู่ด้านข้างของตัวเรือสำเร็จ
เด็กหนุ่มเอื้อมมืออุ้มส่งร่างที่หมดสติของหนูน้อยให้กับชายหนุ่มบนเรือซึ่งกราบของเรือนั้นอยู่สูงจากระดับน้ำไม่มากนัก
ชายหนุ่มรีบอุ้มตัวหนูน้อยเข้าไปภายในเก๋งเรือก่อนที่จะกลับออกมาช่วยเด็กหนุ่มที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำ...ขณะที่เด็กหนุ่มเอื้อมมือเพื่อให้ชายหนุ่มบนเรือช่วยดึงตัวเขาขึ้นไปก็ปรากฏมีท่อนไม้ขนาดใหญ่ท่อนหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำเชี่ยวพุ่งกระแทกเข้ากับร่างของเขาอย่างจัง...
’ปึกกก!!’
จากแรงกระแทกและความเร็วของกระแสน้ำทำให้ร่างของเด็กหนุ่มจมหายไปจากผิวน้ำต่อหน้าต่อตา
ความเป็นลูกผู้ชายซึ่งไม่ได้วัดจากฐานะหรือเครื่องแบบหากแต่อยู่ที่การกระทำ...แลสถานการณ์คับขันมักก่อกำเนิด
‘วีรบุรุษ!’ เสมอ ชายหนุ่มกระโจนพุ่งตัวลงไปในน้ำทันที ชายชราผู้ทำหน้าที่บังคับเรือถึงกับตกใจจนปล่อยพังงาเรือและรีบเดินออกจากเก๋งเรือมาดูเหตุการณ์
แต่ไม่นานชายหนุ่มก็โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับเด็กหนุ่มที่มีอาการไอสำลักน้ำแต่ก็ยังพอพยุงตัวในน้ำได้บ้าง
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่ร่างเด็กหนุ่มถูกขอนไม้กระแทกจมลงทำให้ร่างของเขาถูกกระแสน้ำพัดออกไปไกลหลายสิบเมตรบ่งบอกถึงความแรงของกระแสน้ำขณะนั้นได้เป็นอย่างดีแต่ถึงแม้กระแสน้ำจะไหลเชี่ยวทว่าด้วยพละกำลังจากมัดกล้ามแกร่งกำยำแบบนักเพาะกายทำให้ชายหนุ่มผิวเข้มสามารถว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมแรงอีกทั้งยังช่วยพยุงตัวเด็กหนุ่มจนขึ้นมาบนเรือเล็กได้สำเร็จอย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ชายหนุ่มหันไปบอกให้ไต้ก๋งเรือรีบนำเรือกลับเข้าฝั่งเพราะต้องนำตัวหนูน้อยส่งโรงพยาบาลก่อน
ส่วนอาการของเด็กหนุ่มนั้นเบื้องต้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะเดิมนั้นเด็กหนุ่มก็เป็นนักกีฬาที่มีสภาพร่างกายแข็งแรงประกอบกับเพียงแค่สำลักน้ำเข้าไปหลายอึกเท่านั้น
หลังจากช่วยปฐมพยาบาลจนหนูน้อยฟื้นคืนสติขึ้นมาเรือลำน้อยก็เข้าเทียบฝั่งพอดี
เด็กหนุ่มรับอาสาอุ้มร่างของหนูน้อยที่อ่อนเพลียจากการสำลักน้ำไปส่งโรงพยาบาล
“ไอ้หนุ่ม
เอ็งยังไหวใช่มั้ย”
ชายหนุ่มบนเรือตะโกนถามเด็กหนุ่มที่พึ่งก้าวขึ้นฝั่งด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับ
ขอบคุณน้าชายมากที่ช่วยผมเมื่อกี๊”
เด็กหนุ่มยังไม่ได้ถามชื่อของอีกฝ่ายเพราะเหตุการณ์ชุลมุนคับขันจึงได้แต่เรียกอีกฝ่ายว่า
’น้าชาย’ เขาตะโกนตอบด้วยเสียงแหบห้าว
ขณะที่ทั้งสองมืออุ้มตัวหนูน้อยไว้แนบกับอกแกร่งกล้าม
“งั๊นเด็กคนนี้ฝากเอ็งด้วยแล้วกันว่ะ”
หลังจากพูดจบบุรุษหนุ่มก็บอกให้ไต้ก๋งหันเหหัวเรือกลับไปช่วยผู้ประสบเหตุคนอื่นซึ่งขณะนี้เรือกู้ภัยหลายลำในบริเวณนั้นต่างก็ทยอยมุ่งหน้าสู่จุดเกิดเหตุเพื่อเร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและค้นหาผู้สูญหาย
ข่าวอุบัติเหตุเรือด่วนโดนกัน*กลางลำน้ำเจ้าพระยาจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายรายลงเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์นานอยู่หลายวันโดยจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ได้สรุปสาเหตุว่าเกิดจากทัศนวิสัยจำกัดทำให้ความสามารถในการบังคับเรือลดลงจนเกิดเหตุดังกล่าว
อย่างไรก็ดีจะมีการดำเนินคดีกับบริษัทเจ้าของเรือและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
_________________________________________________________________________________________________________
*
เรือกับเรือมักจะใช้คำว่า “โดนกัน” ต่างจากรถที่จะใช้คำว่า “ชนกัน” อ้างอิงตาม
พ.ร.บ. ป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ .๒๔๕๖ - ปัจจุบัน
2
สัปดาห์ต่อมา...
“ได้ครับ
ไม่มีปัญหา เฮียไม่ต้องห่วง ผมจะรีบไป”
ยอดชายวางสายโทรศัพท์หลังจากรับปากเสี่ยโป้ผู้เป็นนายจ้างว่าจะต้องขึ้นเหนือเพื่อไปทำงานเป็นเวลานานหลายเดือน...ปกติงานของเขาก็เป็นเช่นนี้คือต้องเดินทางไปคุมงานก่อสร้างตามสถานที่ต่างๆแล้วแต่งานที่ผู้เป็นนายดิวไว้
เพียงแต่ครั้งนี้ค่อนข้างกระทันหันหลังจากที่เขาพึ่งได้รับมอบหมายให้ไปคุมงานก่อสร้างริมฝั่งแม่น้ำซึ่งสองอาทิตย์ก่อนได้บังเอิญเจอกับเหตุการณ์เรือโดนกันอย่างไม่คาดคิดโชคดีที่เขารู้จักกับไต้ก๋งเรือเล็กซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าท่าเรือบริเวณเขตก่อสร้างที่เขาคุมงานทำให้สามารถช่วยชีวิตเด็กหนุ่มผิวเข้มกับหนูน้อยวัยห้าขวบเศษเอาไว้ได้
หลังจากที่แยกกันวันนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ข่าวของเด็กหนุ่มและหนูน้อยอีกเลยได้แต่หวังว่าคงปลอดภัยทั้งคู่
“คราวนี้เฮียสั่งให้ลูกพี่ไปทำงานที่ไหนอีกล่ะ?” ไอ้ดำลูกน้องของยอดชายในไซด์งานที่ทำงานด้วยกันมานานคาดเดาจากคำสนทนาทางโทรศัพท์ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อครู่
“ไม่ใช่แค่กู
เฮียสั่งให้มึงก็ต้องไปด้วย คราวนี้โปรเจคเฮียอยู่ที่พิจิตร
ท่าทางจะเป็นงานใหญ่ด้วยว่ะ”
ยอดชายพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับเดินนำหน้าลูกน้องจอมรู้ดีไปยังรถกระบะสีดำคู่ใจ
“แบบนี้คงต้องอยู่ที่นั่นกันยาว
พวกสาวๆที่ออฟฟิศคงคิดถึงลูกพี่แย่ ฮ่าๆๆ”
ไอ้ดำพูดหยอกคนเป็นลูกพี่ขณะที่เดินตามแผ่นหลังหนาแกร่งวีเชฟของยอดชายไปขึ้นรถกระบะ
บริษัทที่ยอดชายทำงานอยู่ใครๆต่างก็รู้ว่าสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนในออฟฟิศแอบมีใจให้เขาอยู่ไม่น้อยเนื่องจากความหล่อคมเข้มสไตล์คนใต้กับบุคลิกเย็นชาน่าค้นหาแถมด้วยกล้ามเนื้อแกร่งแน่นเป็นมัดๆสมชายชาตรีเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจสาวๆรู้สึกวาบหวามเมื่อได้รู้จักใกล้ชิดกับชายหนุ่ม
เพียงแต่ยอดชายมีอดีตบางอย่างที่ทำให้เขาไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีก
ยอดชายเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับโดยมีนายดำลูกสมุนตามมานั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสาร
รถกระบะสีดำพุ่งตัวออกจากไซด์งานก่อสร้างอย่างรีบร้อนมุ่งสู่สำนักงานใหญ่ของบริษัทซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร
ไม่กี่นาทีต่อมารถกระบะสีดำก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในบริเวณที่ตั้งของอาคารสูงเจ็ดชั้น
ยอดชายกับลูกน้องคนสนิทเดินลงจากรถเข้าไปในตัวอาคารเพื่อเก็บข้าวของเครื่องใช้บางอย่างเตรียมออกเดินทางคืนนี้
“เดี๋ยวกูแวะไปรับตอนทุ่มนึง”
บุรุษผิวคร้ามเข้มนัดแนะกับลูกน้องก่อนปลีกตัวออกจากออฟฟิศเพื่อไปยิม ซึ่งยิม ณ
เวลานั้นก็ยังมีอยู่ไม่มากนักและมีแต่ยิมร้อนสำหรับฝึกการเพาะกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การเล่นกล้ามเพาะกายมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มจนตอนนี้ยอดชายกลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบแปดปีแล้ว
กล้ามเนื้อที่บ่มเพาะมาอย่างดีกว่ายี่สิบปีจึงมีความแข็งแกร่งใหญ่หนา คมชัดสง่างามราวกับรูปปั้นงานแกะสลักจากฝีมือของประติมากรชั้นครู
ยอดชายหักพวงมาลัยรถเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าของโรงฝึกกล้ามเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาใช้บริการมากนักเพราะคนในยิมจะเยอะมากเป็นพิเศษช่วงหลังห้าโมงเย็นไปแล้ว
เขาเดินไปยังชั้นวางดัมเบลซึ่งวางเรียงกันเป็นแถวยาวสามแถว
ดัมเบลที่วางเป็นคู่ๆแถวบนจะมีน้ำหนักเบาและแถวล่างสุดจะมีน้ำหนักมากที่สุด
ชายหนุ่มเลือกคู่ของดัมเบลที่มีขนาดข้างละสี่สิบกิโลกรัมซึ่งอยู่แถวกลางมาถือไว้ในมือหยาบกร้านจากนั้นจึงนอนลงบนเบาะราบชูดัมเบลคู่ที่มีน้ำหนักรวมแปดสิบกิโลกรัมขึ้นตั้งฉากกับพื้นแล้วจึงค่อยๆลดระดับลงจนดัมเบลทั้งสองข้างในมืออยู่ระดับราวนมแล้วจึงยกชูดัมเบลขึ้นอีกครั้งจนครบสิบทีเป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่องวอร์มร่างกายของเขาเท่านั้น
ยอดชายนำดัมเบลกลับคืนที่เดิมจากนั้นจึงถอดเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่เพียงตัวเดียวออกวางพาดไว้กับราวแขวนทรงสูงที่อยู่ใกล้ๆกับชั้นวางดัมเบล
ความบึกบึนกำยำของมัดกล้ามเนื้อทั่วองคาพยพส่วนบนของเขาโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตา
กล้ามหนอกคอใหญ่หนาสมกับเป็นบุรุษเพศ
กล้ามหัวไหล่กลมนูนเป็นลูกประกอบกับท่อนแขนขนาดเกินสิบเก้านิ้วอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่ขึ้นเป็นมัดๆดูน่าเกรงขามราวกับสวมชุดเกราะของนักรบ
ชายหนุ่มเลือกคู่ดัมเบลที่มีขนาดมากกว่าเดิมเท่าตัวจากนั้นจึงนอนลงบนเบาะราบตัวเดิมและออกกำลังด้วยท่าเดิมอีกครั้ง
การยกขึ้นลงด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของมัดกล้ามเนื้อที่ใช้ออกแรงได้เป็นอย่างดี
กล้ามเนื้อหน้าอกกว้างแกร่งของชายหนุ่มยืดออกและหดเกร็งตามจังหวะการยกดัมเบลขึ้นลงจนมองเห็นเส้นเลือดพาดผ่านไปมา
ตรงส่วนกลางของแผงอกซ้ายขวาเป็นเส้นร่องแหว่งลึกลงไปเพราะขนาดของมวลกล้ามเนื้อโดยรอบที่ใหญ่หนานูนแน่นจนเป็นพูมองเห็นขอบตัดโดยรอบของแผงอกอย่างคมชัด
ชายหนุ่มออกกำลังเล่นกล้ามอกอยู่หลายเซ็ตจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อหน้าอกตึงฟูร้อนผ่าวและมีเหงื่อซึมออกมาตามรูขุนขนจึงเปลี่ยนไปยังเครื่องออกกำลังที่ต้องใช้แรงดึงน้ำหนักอย่างเครื่องเล่นกล้ามที่เป็นสายเคเบิล
ทันทีที่ยอดชายออกแรงดึงน้ำหนัก กล้ามเนื้อแผ่นหลังกว้างหนารูปตัววีหดเกร็งขึ้นเป็นลูกจนมองเห็นเส้นลายกล้ามเนื้อหลังแตกออกเป็นริ้วๆตามร่องกล้ามแกร่งสมกับเป็นร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักของลูกผู้ชายอย่างแท้จริงและยามนี้ขนรักแร้ของชายหนุ่มก็ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อจากการเล่นกล้ามอย่างหักโหมจนกลิ่นอับแห่งความเป็นชายก่อตัวเข้มข้นขึ้นทีละน้อยภายใต้ซอกรักแร้และดงหมอยหยาบสากอับชื้นอันเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษเพศเสมือนเป็นน้ำหอมชายตามธรรมชาติที่ไม่ต้องซื้อหา...น้ำหอมที่แสดงความเป็นปัจเจกเฉพาะตัวของผู้ชายแต่ละคนอย่างแท้จริง
ขนรักแร้เส้นยาวหยาบที่ขึ้นจนดูรกดกดำทะมึนของยอดชายยิ่งตอกย้ำลักษณะความเป็นชายของเขาให้เด่นชัด
ความทรงจำในวัยเด็กที่เคยดูภาพยนตร์ฉายชัดในสมอง...ภาพที่พระเอกจะมีขนรักแร้ที่เข้มดกดำแตกต่างจากนางเอกทำให้เขาจำฝังใจมาตลอดจนเมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัวฮอร์โมนเพศชายเริ่มทำงานจนทำให้ขนตามจุดต่างๆเริ่มขึ้นเหมือนพระเอกในภาพยนตร์มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งเสมือนเป็นอีกหนึ่งประจักษ์หลักฐานที่นอกเหนือจากมัดกล้ามและอวัยวะเพศอันแสดงให้รู้ว่าเขาเป็นตัวผู้ไม่ใช่ตัวเมีย...เป็นบุรุษไม่ใช่สตรีนับตั้งแต่นั้นมาชายหนุ่มจึงไม่เคยโกนหรือเล็มขนตามร่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มเล่นกล้ามหลังอยู่หลายเซ็ตจนรู้สึกถึงความตึงแน่นร้อนผ่าวของกล้ามเนื้อหลังจึงเปลี่ยนมาเล่นกล้ามมัดเล็กอย่างกล้ามท้องโดยใช้ท่า
Crunch ซึ่งเป็นที่มาของกล้ามท้องที่ขึ้นนูนเป็นลอนๆแข็งราวกับมีก้อนหินหกลูกเรียงกันแน่นชิดอย่างเป็นระเบียบ
เขาใช้เวลาเล่นกล้ามเกือบสองชั่วโมงจนรู้สึกตึงแน่นไปทั่วร่างเหมือนกล้ามเนื้อจะระเบิด...หากเขาเป็นผู้ชายที่มีร่างกายอ่อนแอถึงต่อให้มีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญปานใดก็คงไม่อาจช่วยเด็กหนุ่มกับหนูน้อยวัยห้าขวบเศษเอาไว้ได้...หัวใจอันเข้มแข็งเพียงอย่างเดียวจะมีประโยชน์อันใด? ร่างกายที่แข็งแกร่งแน่นกล้ามย่อมเปรียบดั่งอาภรณ์ที่เหมาะสมห่มคลุมจิตใจอันเข้มแข็งอดทนของลูกผู้ชายไว้ภายในจึงจะก่อเกิดประโยชน์สูงสุด...ยอดชายย่อมเป็นบุรุษเฉกนั้น
หลังจากฝึกกล้ามเสร็จสรรพชายหนุ่มก็มุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อเตรียมของใช้ที่จำเป็นพร้อมกับเขียนกระดาษโน๊ตทิ้งไว้ให้ลูกชายรู้ว่าเขาต้องไปทำงานต่างจังหวัดนานหลายเดือนและยังทิ้งเงินไว้ให้จำนวนหนึ่งซึ่งเพียงพอกับค่าใช้จ่ายของเดือนนี้
รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังเล็กมุ่งตรงไปรับลูกน้องคนสนิทตามที่ได้นัดแนะกันไว้ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เมืองชาละวัน...To be continued.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น